คน เปลี่ยน ร่าง

จากน้ำหนัก 120 โล สู่ 65 โล

ก่อนอื่นเลยนะ ผมเองมีชื่อว่าเบนซ์ และ เบน แล้วแต่คนจะเรียก 🤣

ซึ่งผมเป็นเด็กอ้วนมาตั้งแต่เด็กเลย เกิดจากชอบกินจุกจิก เป็นคนกินอะไรก็เอร็ดอร่อยไปหมด กินทุกอย่างที่ขวางหน้า ผมปล่อยเนื้อปล่อยตัวเองมาตลอด คือ กินจนอ้วนสุด หน้าแก่มาก จนเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัย ผมก็ใช้ชีวิตแบบเดิมๆ เรียน กิน เที่ยว หมูกระทะคือจัดเต็มเกือบทุกสัปดาห์

หลายๆครั้งผมถูกทักว่าเป็นรุ่นพี่ ทั้งๆที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ยกมือไหว้ โดนทักเป็นอาจารย์ เป็นคุณลุง และพีคในพีคคือโดนทักว่าเป็นคุณพ่อของอาจารย์ โอ๊ยยย หัวจะปวด 🤣

จนแบบชั่งน้ำหนักตอนที่หนักสุดๆคือ 120 โล โอ้โห้ แม่เจ้า

ถามว่าแคร์ไหม ไม่เลย 😊 ยังคงกินแบบกะหน่ำซัมเมอร์เซลล์

เคยคิดจะลด แต่ก็คือล้มเหลวตลอด ทำได้ 2-3 วัน ก็กลับมากินอีก รออะไรกินต่อสิครับ กินได้เป็นของเรา ตายไปก็ไม่ได้กิน ถือคตินี้เลย

จุดพีคของการเปลี่ยนแปลง 🥹

ตอนนั้น เรียนอยู่ปี 3 เทอม 2 ช่วงนั้นเรียนหนักหนาสาหัส นอนดึก ยิ่งดึกยิ่งกิน ไม่แคร์ใดๆในเมืองทิพย์ เมืองไทย เพราะช่วงนั้นทำวิจัย และประเมิน ทั้งนอนดึก กินได้ตลอดเวลา จนกระทั่งร่างกายเริ่มส่งสัญญาณให้เรารับรู้ว่า กูไม่ไหวแล้วนะมึง 🤣

เริ่มจากมีอาการข้อเท้าบวม อักเสบ ปวดแบบเดินไม่ได้เลย นึกในใจ จะมารับเบี้ยคนพิการแล้วหรือนี่ ไปหาหมอ คือหมอก็จะสาปส่งให้ไปลดน้ำหนักแบบด่วน สาเหตุมาจาก น้ำหนักตัวเยอะ ทำให้ร่างกายรับน้ำหนักตัวเองไม่ไหว คือมันปวดแบบเรื้อรังเลย ต้องปะคบน้ำร้อน น้ำเย็น ทายาสารพัด ก็มิวาย พอหายดีขึ้นก็กลับมากินอีก 🤪 ดื้อสุดอ่ะ

และแล้วความพีคในพีคคืออาการหนักเริ่มมา คือ มีอาการวิงเวียนศีรษะ กินยาอะไรก็ไม่หาย ต้องนอนตลอด ลุกเดินไปสักแปปๆก็วิงเวียนอีก ตอนนั้นเพื่อนต้องพาหามเข้าโรงพยาบาล หมอจับวัดความดัน พบว่า ความดันสูง 180 เลยอ่ะ ก็รับยามากินให้หายเวียนหัว

อ่ะ มาถึงจุดนี้ล่ะเพื่อนเอ่ย

หลังจากเรียนจบ ก็ยังกินปกติ (ไม่เข็ด) 🤣

ช่วงจบมาใหม่ก็ทำงานฟรีแลนด์ รับงานเอง มันก็เลยมีเวลา

มีเวลากินนะ ไม่ใช่มีเวลาไปออกกำลังกาย 😝 พูดได้เลยว่าแดกยับ แดกดึก แดกดื้น 🤓

ร่างกายเลยตอบสนองโดยการวืบเลยครับ หน้ามืด เลือดกำเดาไหล จนต้องตัดสินใจไปโรงพยาบาล พบหมออายุรกรรม โดนสาปตามเคย โดนเจาะเลือด ตรวจปัสสาวะ วัดคลื่นหัวใจ ตรวจครั้งใหญ่ในชีวิต และต้องรับยาความดันโลหิตสูงมากิน

เข้าสู่การเปลี่ยนแปลงตัวเอง

เริ่มมีความคิดในหัวเลยว่า อายุยังน้อย แล้วเป็นความดัน

กลัวจะขิตเสียก่อนเวลาอันควร มันคงถึงเวลาแล้วแหละ

และมีแม่คอยให้กำลังใจ พาไปออกกำลังกาย

วิธีการลดน้ำหนักที่ผมทำ

เริ่มจากเดินออกกำลังกาย แรกๆเริ่มวันละ 3 กิโล

หักดิบงดมื้อเย็นไปเลย คือไม่กินอะไรเลยนอกจากน้ำ

จนผ่านมา 2 เดือน น้ำหนักลดมา 5 กิโล เฮ้ยยย ดีใจมาก 😍

มาเจอวิธีการทานอาหารคลีน ลองเอามาปรับใช้ งดของมัน

ของทอด ชานม ชาไข่มุก งดแบบไม่แตะเลย กินผักใบเขียว เปลี่ยนจากการทอด มาเป็น อบ ย่าง นึ่ง ต้ม เท่านั้น

ส่วนน้ำหวานที่เป็นชานม ชาไข่มุก เปลี่ยนมาเป็นเมนูอิตาเลี่ยนโซดา กาแฟดำ กินไข่ต้มมื้อละ 2 ฟอง จากขนมกรุบกรอบ ขบเคี้ยวที่มีผงชูรสมาเป็น ธัญพืช ถั่วที่เป็นไขมันดี แต่ควบคู่กับการออกกำลังกาย เดินเร็ว ถ้าฝนตกก็เต้นแอโรบิก คาร์ดิโออยู่ในห้อง จนมาชั่งน้ำหนัก พบว่า ลดมาเหลือ 90 กิโล ดีใจสุด

หลังจากนั้น Research หาข้อมูลสูตรการลดน้ำหนักในเน็ต

ก็มาเจอ สูตรวิธีการ IF มันตอบโจทย์มาก มันสนุกกับการทำมัน

โดยใช้สูตร 16/8 คือ กินในเวลา 8 ชั่วโมง และงด 16 ชั่วโมง แต่ในห้วงเวลา 8 ชั่วโมง ไม่ใช่ว่าเราจะกินอะไรก็ได้นะ เราต้องควบคุมการกินเช่นเดิม เพราะกินมากไปก็ไม่ดี และที่สำคัญยังคงออกกำลังกายเหมือนเดิมทุกวัน พอหลังจากน้ำหนักเหลือ 90 กิโล จึงตัดสินใจลองวิ่งดู โดยเริ่มจากวิ่ง 3 กิโล ทุกวัน แต่วันไหนฝนตก ก็เต้นแอโรบิก คาร์ดิโอ ที่ห้องเหมือนเดิม

ได้เวลาชั่งน้ำหนัก ลงมาเหลือ 75 กิโล โอ้โห้ ดีใจกับตัวเองมากๆ

และปรับการออกกำลังกายเพิ่มความท้าทายตัวเองอีกสักตั้ง โดยใช้สูตร IF 23/1 คือ กินแค่ 1 ชั่วโมง งด 23 ชั่วโมง วิ่งวันละ 10 กิโล แบ่งเป็นตอนเช้า 5 กิโล ตอนเย็น 5 กิโล บ้าสุดพลังมาก 🤪

ใช้เวลาไป 1 เดือน สัดส่วนลดลงแบบบ้ากระห่ำ 555

ชั่งน้ำหนักอีกที เหลือ 65 กิโล อ่ะๆ พอแล้วล่ะ เอาเท่านี้

เพราะมีความรู้สึกว่าน้ำหนัก 65 ดูโอเคแล้ว ใส่อะไรสมส่วนตัวเองสุด ดูไม่ผอมเกินไป

รวมๆแล้วใช้ระยะเวลา 1 ปีเต็มกับการเปลี่ยนแปลงตัวเอง

ทุกวันนี้ผมยังคงควบคุมการกิน มัน ทอด ก็อาจมีบ้าง นานแบบนานๆครั้งเลย และออกกำลังกายแบบเดิมทุกวัน เพราะกลัวมาก กลัวน้ำหนักขึ้น คือ สมองมันจะสั่งตัวเองอัตโนมัติเลยว่า ในแต่ละวันกินได้เท่านี้ ห้ามกินมากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นมันจะทำให้เราเคยตัวและกลับมาอ้วนได้อีก

ลดน้ำหนักว่ายากแล้ว ควบคุมให้น้ำหนักคงที่สิยากกว่า

ขอบคุณทุกท่านนะครับ ที่อ่านมาถึงตรงนี้ ผมขอเป็นกำลังใจให้กับทุกๆคนที่อยากลดน้ำหนัก มันไม่มีอะไรยากเกินไปกว่าหัวใจตัวเองครับ มานะ ความอดทนของเราต่างหากที่เอาชนะต่อทุกสิ่ง

และที่สำคัญสิ่งที่ได้มันได้กับตัวเรา ของขวัญที่ดีที่สุด คือ สุขภาพเราดีขึ้นครับ ปัจจุบันนี้ความดันผมปกติแล้ว และพบว่า ไม่มีอาการวิงเวียนศีรษะ เวียนหัว ปวดหัวอีกเลย นอกจากป่วยเป็นไข้ มันดีจริงเลยครับ หมอก็ชมว่าเก่งมากๆที่เอาชนะใจตัวเองได้ ไม่โดนสาปแล้ว แถมยังให้ผมเป็นที่ปรึกษาของคนอ้วนให้กับโรงพยาบาลอีกด้วย แถมไม่ต้องกินยาไปตลอดชีวิต หมอก็ลดปริมาณยาลงมาเรื่อยๆ แต่ยังคงให้มาพบหมออยู่เรื่อยๆ ทุกๆ 4 เดือน อยากจะตะโกนไปว่า “ทำได้แล้วโว้ยยยยยย”

การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐโดยแท้

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ / จบการรีวิว

เรียบเรียง : เบนซ์ อดีตร้อยกว่าโล