รู้จักหลุมสิว 3 ชนิด พร้อมวิธีรักษา

หลุมสิวเกิดจากอะไร ?

หลุมสิว คือผลกระทบที่เกิดจากปัญหาสิวที่มีการอักเสบ รวมถึงสิวอุดตัน ปกติหลังจากสิวหายแล้วจะมีกระบวนการซ่อมแซมผิวหนังโดยไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็น ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน

หลังจากสิวหาย จะมีการสร้างเซลล์ผิวหนังและคอลลาเจนล้อมรอบบริเวณที่มีการอักเสบ หากกระบวนการนี้เกิดได้อย่างสมบูรณ์ก็จะไม่มีรอยแผลเป็นจากการเกิดสิว 

แต่ถ้ากระบวนการนี้เกิดขึ้นได้อย่างไม่สมบูรณ์หรือผิวเกิดการอักเสบอย่างรุนแรง จนทำให้ผิวยุบลง สร้างคอลลาเจนใหม่ได้ไม่เพียงพอต่อคอลลาเจนที่ถูกทำลายไป เซลล์เนื้อเยื่อเกิดการหดรัดตัว ทำให้เกิดรอยแผลเป็นหรือหลุมจากสิวได้ 

สิวแบบไหนที่สามารถกลายเป็นหลุมสิวได้

ลักษณะของสิวที่สามารถกลายเป็นหลุมสิวได้แก่ 

1. สิวหัวช้างเม็ดใหญ่ (Cyst) เป็นสิวขนาดใหญ่ที่มีหนองปนเลือดอยู่ภายในหัวสิว ใช้เวลาในการรักษานาน 

2. สิวอักเสบรุนแรง (Pustule) หรือสิวหัวหนอง อักเสบเรื้อรัง 

3. สิวที่ติดเชื้อแบคทีเรียจนลุกลามไปทั่วชั้นใต้ผิว (Nodule)

หลุมสิวมีกี่ประเภท ?

หลุมสิวแบ่งออกเป็น 3  ชนิดหลัก ๆ

1. Ice Pick Scar

จะเป็นหลุมลึก ปากแผลแคบ มักมีขนาดไม่เกิน 2 มม. อยู่ในระดับความรุนแรงที่สุด

สาเหตุ : เกิดจากการกดหรือบีบสิวอุดตัน สิวที่อักเสบ

รักษาได้ยาก เนื่องจากสิวกินเนื้อไปจนถึงชั้นรูขุมขน มีการทำลายลึกลงไปถึงชั้นผิวหนังแท้ ทำให้คอลลาเจนหายไปด้วย หลุมสิวจึงเป็นไปในแนวลึก กว่าผิวจะฟื้นฟูจนเต็มต้องใช้เวลานานในการรักษา เพื่อช่วยให้รอยหลุมตื้นขึ้นมา      

2. ชนิด Box Scar 

มีลักษณะเป็นบ่อ มีขนาดกว้าง เห็นขอบของหลุมสิวชัดเจน  ลึกประมาณ 3-5 มิลลิเมตร มีขนาดใหญ่กว่าหลุมสิวประเภท Ice pick scar 

อยู่ในระดับความรุนแรงปานกลาง

มักพบพังผืด (fibrosis) เกาะติดในชั้นหนังแท้ มีทั้งแผลลึกและแผลตื่น

สาเหตุ : มาจากสิวอักเสบมีขั้นลึก รวมถึงคนที่เป็นโรคอีสุกอีใส 

3. ชนิด Rolling Scar 

เป็นหลุมสิวระดับทั่วไป ลักษณะเป็นหลุมตื้นๆ เป็นหลุมสิวแค่ช่วงผิวส่วนบนเพียงเล็กน้อย เป็นแอ่งเว้าลงไปไม่ลึก

มีความรุนแรงน้อยสุด  มักจะทำการรักษาได้ง่ายกว่าระดับอื่น ๆ  

#ความรู้คู่ผิว #เรื่องผิวผิว #สวยแบบมีความรู้ #สิว #หลุมสิว #รักษาหลุมสิว #เลเซอร์หลุมสิว #บิวตี้สายเกา #Lemon8Skintest #รักษารอยสิว