ลงทุนอย่างไรในภาวะสงคราม/เศรษฐกิจถดถอย

ท่ามกลางความไม่แน่นอน และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ การบริหารความเสี่ยง และความสามารถในการปรับตัวต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการบริหารพอร์ทการลงทุน

ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง และความเสี่ยงคือ ‘ความไม่แน่นอน’ ด้วยเหตุนี้เพื่อไม่ให้พอร์ทการลงทุนมีความผันผวนจนเกินไป นักลงทุนจึงควรปรับพอร์ตลงทุนบางส่วนในสินทรัพย์ปลอดภัย หรือการลงทุนในสินทรัพย์ที่คาดว่าจะรักษาเงินต้นหรือเพิ่มมูลค่าในช่วงเวลาที่สภาวะเศรษฐกิจเกิดการผันผวน และสามารถลดความเสี่ยงในกรณีที่กำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ อย่างเช่นในภาวะสงคราม

โจทย์สำคัญในการคัดเลือกสินทรัพย์ลงทุนคือ “เน้นรักษาเงินต้นและรักษาสภาพคล่องในช่วงที่ตลาดตกต่ำ”

ตัวอย่างสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น

1. ทองคำ: สินทรัพย์ลงทุนที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้วอย่างยาวนาน และได้รับการยอมรับในระดับสากลว่าเป็นแหล่งสะสมความมั่งคั่ง โดยสามารถซื้อได้ที่ร้านทอง หรือลงทุนผ่านกองทุนรวม, ETF ฯลฯ

2. พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ: มีความปลอดภัยอย่างยิ่งเนื่องจากความมั่นคงทางการเงินและความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยสามารถลงทุนผ่าน กองทุนรวมพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หรือผ่าน ETF

3. เยนญี่ปุ่น: เงินเยนมีการซื้อขายมากเป็นอันดับ 3 ของสกุลเงินหลักทั้งหมด และมีการเคลื่อนไหวแบบอิสระ ไม่ได้มีการผูกติดค่าเงิน ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีเงินลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศสูงสุดในโลก เพราะญี่ปุ่นถือเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลก และมีเงินสดสำรองมากที่สุด

4. ฟรังก์สวิส: ความมั่นคงของรัฐบาลสวิสและระบบการเงิน ประเทศยังมีอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำและประชาชนมีความเชื่อมั่นในธนาคารกลางแห่งสวิตเซอร์แลนด์ธนาคารกลางของสวิตเซอร์แลนด์

5. โลหะมีค่าอื่น ๆ นอกเหนือจากทองคำ: เงิน แพลทินัม และแพลเลเดียมก็ถือเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยเช่นกัน แม้ว่าจะมีความผันผวนมากกว่าทองคำก็ตาม โดยสามารถลงทุนผ่านการซื้อที่ร้านเครื่องประดับ หรือลงทุนผ่านกองทุนรวมหมวดอุตสาหกรรมที่มุ่งลงทุนโดยเฉพาะเจาะจงในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับโลหะ และเหมืองแร่

6. เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด: การถือเงินสดหรือรายการเทียบเท่าเงินสด เช่น กองทุนตลาดเงิน สามารถรักษาทุนและรักษาสภาพคล่องในช่วงที่ตลาดตกต่ำ

7. หุ้นกู้ Investment Grade: หุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทที่มีความมั่นคงทางการเงินจะปลอดภัยกว่าหุ้นในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ แม้ว่าจะมีความเสี่ยงมากกว่าพันธบัตรรัฐบาลก็ตาม เช่น หุ้นกู้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), หุ้นกู้ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) เป็นต้น สำหรับเครดิตเรตติ้งแนะนำให้เลือก เครดิตเรตติ้งองค์กร และเรตติ้งหุ้นกู้ ที่ระดับ BBB+ ขึ้นไป