Lemon8 视频下载器

从 Lemon8 应用程序下载视频和图库的最简单方法

เล่าประสบการณ์ | ฝึกภาษาอังกฤษ 📚📒📝 ใครไม่อ่านพลาดมาก

เล่าประสบการณ์ | ฝึกภาษาอังกฤษ 📚📒📝 ใครไม่อ่านพลาดมาก

桌面:右键单击并选择“将链接另存为...”进行下载。

PHOTOS
เล่าประสบการณ์ | ฝึกภาษาอังกฤษ 📚📒📝 ใครไม่อ่านพลาดมาก JPEG 下载

🍋 ที่บี้มาแชร์วันนี้ ไม่ได้เป็นสูตรลัดเร่งด่วน ไม่มีวิธี 1 2 3 4 เป็นข้อๆ แต่ในฐานะที่บี้ นักเรียนโรงเรียนรัฐบาลสายวิทย์-คณิต ประสบความสำเร็จในการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร บี้ไม่เคยสอบโทอิค แต่บี้สามารถทำงานในโรงแรมเครือดัง โดยที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร 90% สามารถไปท่องเที่ยวต่างประเทศได้ลำพัง เลยอยากให้โพสต์นี้เป็น ❛❛หนังสือเล่มเล็กๆ ที่มาเล่าการฝึกภาษาอังกฤษของบี้❜❜ เผื่อคนที่มาอ่านจะ get feeling และนำไปปรับใช้ดูค่ะ

🍎 คอนเซ็ปต์ของบี้

- สื่อสารได้ ฟังเข้าใจ ตอบกลับได้

- เน้นเข้าใจง่าย ศัพท์ไม่เว่อวัง แต่มีมารยาท

- เริ่มต้นด้วยการช่างหัวแกรมม่าและเทนส์ทั้งหลาย

- ค่อยๆเรียนรู้ไปแต่จำฝังใจไม่มีลืม

🍏 เริ่มต้นเลยอยากให้ทุกคนปรับมุมมองที่มีต่อภาษาอังกฤษก่อน อย่าคิดว่ามันจะ 'ต้อง' เรียน อย่าให้จุดเริ่มต้นการเรียนของเราเป็นแบบนั้น บี้เชื่อว่าการที่จะเรียนรู้ได้ดีที่สุดคือต้อง ❛❛อยาก ชอบ หรือสนใจ❜❜ จากข้างในของตัวเองจริงๆ เพราะเวลาเราสนใจอะไร มันจะยิ่งอยากเรียนรู้ อยากค้นหา อยากเก่งขึ้น อยากเข้าใจ มันจะทำให้การเรียนรู้สนุกค่ะ

🌽 ส่วนตัวบี้จะชอบวิชาที่สามารถใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน อย่างวิทย์-คณิตที่มันแอดวานซ์มากกว่าความรู้รอบตัว บี้แทบไม่สนใจเลย คือเรามองไม่ออกว่ามันเอาไปปรับใช้ยังไง มันไม่เห็นภาพอ่ะทุกคน ดังนั้นภาษาอังกฤษมันตอบโจทย์ เราเรียนและเอาไปพูดได้เลย ได้ใช้งานแน่ๆ บี้เลยไม่เคยคิดว่ามันเป็นวิชาเรียนเลยสักครั้ง แค่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องนึงที่น่าสนใจและอยากที่จะเข้าใจมัน

🍉 อย่างบี้รู้ตัวเองว่าสนใจภาษาจากการแค่ได้พูดทักทาย Hello กับฝรั่งแล้วเค้าตอบกลับและยิ้มอย่างดีใจ ทั้งที่เราพูดกับเค้าได้แค่คำนั้นด้วยซ้ำ ตอนนั้นคิดว่าถ้าพูดออกไปได้อีกสักประโยคคงดี มันก็เริ่มเพิ่มมาเป็น How are you? เพิ่มมาเป็น What's your name? ประเด็นคือการได้เรียนรู้เพิ่มทีละแค่ประโยคแค่นี้มันก็ทำให้บี้ดีใจแล้วก็ตื่นเต้นมากๆแล้ว วันละนิดวันละหน่อยในแบบที่เราสะดวกใจและมั่นใจจะใช้มันแล้วมันจะจำได้เองค่ะ บี้จะไม่โลภหรือกดดันตัวเองด้วยการ ฉันต้องรู้ศัพท์ทั้งหมดบนโลกเพื่อจะพูดสื่อสารได้ ไม่เป็นแบบนั้นเลยค่ะ ❛❛การสื่อสารกับคนมันง่ายมาก ต่อให้พูดไม่ได้เลยก็ยังมีภาษากายอยู่ดีค่ะ❜❜

🍇 ส่วนตัวบี้เป็นคนชอบภาษา จะว่าเป็นคนความจำดีก็ไม่เชิง ไม่ใช่ว่าเห็นศัพท์คำไหนก็จำได้หมด แต่บี้เป็นคนช่างสังเกตและมีวิธีจำในแบบที่ตัวเองถนัด และจะไม่กดดันตัวเองด้วยการจำศัพท์ทีละหมวด มันเยอะเกินไป ต่อให้วันนึงจำได้หมดแต่ถ้าไม่ได้ใช้มันก็ลืม เสียเวลาท่องเปล่าๆค่ะ บี้จะใช้วิธีซึมซับจากรอบตัวไปเรื่อยๆจะเน้นจำที่คำที่สามารถใช้ได้บ่อยและได้จริงในชีวิตประจำวัน สมมติดูหนังเรื่องนึงบี้จะเก็บศัพท์ราวๆ 10 คำ มันต้องมีแหละคำที่เราอยากเอาไปใช้บ้าง ❛❛จากนั้นก็จำลองสถานการณ์ในหัวว่าในชีวิตจริงของเราจะได้พูดประโยคนี้ตอนไหน พอมันเชื่อมโยงกับชีวิตจริงๆของเรามันมีภาพจำในหัว❜❜ พอเหตุการณ์ที่เคยจำลองไว้มันเกิดขึ้นจริง เราที่เคยมีการเตรียมตัวแล้ว มันทำให้เรากล้าที่จะใช้มันอย่างมั่นใจค่ะ เพราะเรามีตัวอย่างการใช้จากหนังและเราก็ได้ซ้อมไว้ในหัวแล้วด้วย ความมั่นใจมันมาครั้งนึงแล้ว มันจะมั่นใจขึ้นไปเรื่อยๆค่ะ

🍋 ที่สำคัญ! ต้องพูดมันออกมา การอ่านออกเสียงในใจ กับอ่านออกมาเสียงดัง การจดจำต่างกัน ล้าน% บี้ยืนยัน

❛❛ยิ่งพูดบ่อยมันจะติดปาก พูดออกมาโดยจิตใต้สำนึก❜❜

บี้ตระหนักข้อนี้ได้ตอนดูซีรีย์เกาหลี บี้เป็นคนติดพูดเลียนแบบ ถ้าอันไหนฟังทันก็จะชอบพูดตาม กลายเป็นว่าเราจำศัพท์เกาหลีได้ซะงั้นทั้งๆที่ไม่ได้ตั้งใจจะจำด้วยซ้ำ เราสามารถเข้าใจภาษาเกาหลีเบื้องต้นได้แม้จะไม่รู้แกรมม่าก็ตาม นอกจากนี้มันทำให้เราได้ฝึกพูด ฝึกล้ามเนื้อปาก จังหวะจะโคนค่ะ บางคนอ่านในใจคิดว่าประโยคง่ายๆ แต่พอได้ลองพูดออกมาจริงๆลิ้นพันกัน มันไม่เป็นอย่างใจคิดก็มี

🍓 อีกข้อที่แนะนำคือให้ 'ปิด' หนังสือแล้วพูดหรือเขียนออกมา ลองทบทวน ใช้สมองคิดประโยคเอง เรียบเรียงเอง ❛❛บางทีตอนอ่านคิดว่าเข้าใจ จำได้ แต่พอปิดหนังสือเท่านั้นแหละ สมอง blank ไปเลยก็มี❜❜ เพราะการอ่านบางทีเราดูแค่คำศัพท์หลักๆมันก็ปะติดปะต่อความหมายได้แล้ว แต่มันจะทำให้เราพลาดโครงสร้างของประโยคไป และทำให้เราไม่รู้และใช้มันไม่เป็น เพราะงั้นการปิดหนังสือแล้วนึกทบทวนมันทำให้เราต้องเริ่มคิดจากศูนย์ จะสร้างประโยคได้ไม่ใช่แค่เอาศัพท์บางคำ ไม่เหมือนตอนอ่านที่สแกนดูศัพท์คร่าวๆก็พอ มันต้องมาทั้งยวง ❛❛และถ้ามันสะดุดตรงไหนเราจะรู้เลยว่าเราติดปัญหาอะไร❜❜ ปัญหาเดียวกับที่เราฟังคนอื่นพูดเข้าใจแต่ตอบกลับไปไม่ได้ เพราะเราถนัดแค่จับใจความ แต่ไม่เคยตั้งใจที่จะฝึกคิดประโยคและพูดออกไป อยากเก่งต้อง คิดเอง และพูดให้เยอะค่ะ

🥝 นอกจากนี้ก็ฝึกพูดคนเดียวบ่อยๆค่ะ หรือไม่ก็ลองคิดเป็นภาษาอังกฤษในใจ เช่น เราบอกแม่ว่าหยิบเกลือส่งให้หน่อย เราก็จะกลับมาคิดว่าแล้วถ้าเป็นภาษาอังกฤษล่ะจะพูดยังไง ประโยคมันพื้นฐานง่ายๆ ใช้ในชีวิตแท้ๆ บางคนนึกไม่ออกเลยก็มี มันต้องเริ่มจากตรงนี้แหละค่ะ เริ่มเลย! ไม่มีใครเก่งได้ในวันเดียว มันต้องสะสมไปเรื่อยๆ

🧀 และที่ขาดไม่ได้ก็คือเขียนค่ะ มันช่วยพอๆกับการพูดเลย พูดทำให้ติดปาก ❛❛เขียนทำให้ติดมือและเกิดภาพจำค่ะ พอเรามองเห็นเป็นภาพมันช่วยให้จดจำได้มากกว่า❜❜ บี้เองก็ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน มันก็ต้องมีลืมคำศัพท์ ไม่มั่นใจว่าสะกดถูกมั้ย แต่หลายๆครั้งพอลองเขียนเทียบกันดูเราจะรู้เลยค่ะว่าคำไหนใช่ไม่ใช่ มันคุ้นตา สัญชาตญาณมันมาเลยค่ะ เพราะฉะนั้นอย่าละเลยเด็ดขาด พูดออกมาเป็นประโยคได้แล้ว อย่าลืมฝึกเขียนตามด้วยค่ะ มันจะช่วยเรื่องการสะกดได้

🍊 ต่อด้วยเรื่องแกรมม่า จะว่าต้องเป๊ะก็ไม่ใช่ จะว่ามองข้ามไปเลยก็ไม่ได้ บี้เองไม่ได้เริ่มจากการจำแผนผัง 12 tense ใดๆเลย แต่บี้เริ่มจากการคิดง่ายๆว่า ฉันจะพูดโดยใช้แค่ simple tense นี่แหละ ง่ายๆตรงตัว ประธาน กิริยา กรรม ไม่ผันอะไรทั้งนั้น ต่อให้พูดเรื่องเมื่อวานก็จะไม่ผันกิริยา ก็แค่เติม yesterday เข้าไป ให้มันรู้ไปสิว่าคนจะไม่เข้าใจฉัน (อันนี้บี้ใช้ในการสื่อสารจริง ไม่ใช่ไปสอบนะ 5555) ซึ่งคนมันก็เข้าใจเว่ย และเราก็เริ่มรู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น อารมณ์แบบ ❛❛นี่ขนาดเราเริ่มต้นง่ายๆมั่วๆตั้วๆคนยังเข้าใจเลย มันไม่มีแย่ไปกว่านี้อีกแล้วอ่ะ มันจะมีแต่พัฒนาขึ้น ไม่มีทางทีเราจะสื่อสารกับคนอื่นไม่ได้แน่นอน❜❜

🍒 จากนั้นมันก็จะเพิ่มไปทีละสเต็ป เช่น ถ้าเราอยากพูดเรื่องที่ทำไปแล้ว รูปประโยคมันควรจะเป็นแบบไหน เราก็ ❛❛จะหาประโยคตัวอย่างที่เราจำแม่นและมั่นใจมาเป็นตัวอย่างในใจ❜❜ เช่น

I 𝘄𝗲𝗻𝘁 to school yesterday นี่เป็นประโยคแรกที่เริ่มก้าวข้ามจากการพูด I 𝗴𝗼 to school yesterday พอเราอยากพูดถึงเรื่องในอดีต เราจะนึกถึงโครงสร้างประโยคนี้ ก็เปลี่ยนประธานใหม่ กิริยาใหม่ (โอ้! ต้องผันด้วยนี่นา) กรรมใหม่ ก็ได้ประโยคใหม่แล้ว พอเริ่มใช้ tense นี้คล่องขึ้น เป็นธรรมชาติมากขึ้น ก็พัฒนาเพิ่มขึ้นอีก ว่าอดีตมันพูดได้สองแบบ เช่น 𝗜 𝘄𝗲𝗻𝘁 𝘁𝗼 𝗔𝗺𝗲𝗿𝗶𝗰𝗮 กับ 𝗜'𝘃𝗲 𝗯𝗲𝗲𝗻 𝘁𝗼 𝗔𝗺𝗲𝗿𝗶𝗰𝗮 ก็แปลว่าไปอเมริกามาแล้วเหมือนกัน แล้วมันต่างกันตรงไหน?

I went (past simple) คือการเล่าเรื่องในอดีตแบบระบุช่วงเวลา วัน เดือน ปี อะไรก็ได้ หรือถ้าไม่ระบุก็ต้องแปลว่ารู้กันว่าพูดถึงตอนไหน เช่น พูดถึงชีวิตช่วงปี 2022 อยู่ก็ไม่ต้องระบุเวลาทุกประโยคก็ได้

I have been (present perfect) คือการเล่าถึงอดีตไม่ระบุเวลาอะไรชัดเจน อารมณ์แบบ 'เคย'หรือ'ไม่เคย' ทำสิ่งนี้ในชีวิต เหมือนแค่เล่าประสบการณ์

เพิ่มอีกตัวอย่างให้เห็นชัด

A : คุณเคยแขนหักมั้ย

(have you ever broken you arm?)

B : ใช่ ผมเคยแขนหัก

(Yes, I have)

A : ตอนนั้นอายุเท่าไหร่

(How old were you?)

B : ผมสิบขวบได้มั้ง ตกลงมาจากต้นไม้ มันเจ็บมากๆ

Around 10 I think. I fell from the tree.

I was so painful.

2 ประโยคแรกใช้ perfect เพื่อถามแค่ว่าเคยไม่เคย แต่พอเริ่มระบุช่วงเวลาก็เปลี่ยนเป็น past simple เท่านี้ ❛❛เราก็พอรู้ความต่างของมัน เราก็สามารถใช้มันให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้มากขึ้น ภาษามันก็รื่นหูมากขึ้น❜❜

🍣 นี่คือวิธีการค่อยๆเรียนรู้ของบี้ ❛❛ค่อยๆเพิ่มๆไปทีละนิดอย่างมั่นคงและมั่นใจ และได้ใช้จริงในชีวิต❜❜ ถ้าอยากเข้าใจนิยามแต่ละ tense อ่านให้เยอะ ให้หลากหลายเว็บ หลากหลายที่มา แล้วทุกคนจะจับจุดได้เอง บางเว็บยกตัวอย่างการใช้ tense นี้ได้น่าสนใจ สะกิดใจเรามาก เราจะจำมันได้ เว็บอื่นเจอตัวอย่างที่ใช่อีกเราก็จะจำมันได้แม่นและเข้าใจมันมากขึ้น บี้เองก็ใช่เวลาหลายปีกว่าจะถ่องแท้ในความต่างของ past simple กับ present perfect คือเข้าใจมันถึงแก่นและสามารถใช้ได้อย่างมั่นใจ ไม่ใช่แค่จำๆคอนเซปต์แล้วเอาไปใช้ ❛❛บี้ใช้ภาษาอังกฤษจากความรู้สึก บางทีก็สอนใครไม่ได้เพราะเราใช้ความเข้าใจจากความรู้สึกในการจำ❜❜ เหมือนเราดูหนังหลายๆเรื่อง แล้วคนชอบพูดประโยคนี้ในสถานการณ์แบบนี้ เราจะใช้ความรู้สึกจำมัน ว่าคำพูดนี้ มันเหมาะกับสถานการณ์ 'ประมาณนี้' เหมือนเราเข้าใจ vibe ของมัน แต่ไม่สามารถนิยามเป็นคำพูดได้ วิธีนี้มันก็เป็นอีกวิธีนึงที่ทำให้บี้จำได้นาน เพราะบี้ใช้ความรู้สึกจำ ไม่ใช่ท่องจำ

🍭 บี้เคยอยู่กับเด็กประถมฝรั่ง เค้าเห็นบี้ทำการบ้านเรื่อง past perfect เค้าไม่เข้าใจเลย ไม่รู้ว่ามันต้องมีแพทเทิร์นประโยคแบบนี้ (ก็เหมือนเวลาเราพูดภาษาไทย ไม่มานั่งคิดแกรมม่า ก็พูดตามที่รู้สึก) ❛❛เพราะเด็กเองก็พูดจากความรู้สึกจิตใต้สำนึกที่บ่มเพาะมาว่าสถานการณ์แบบนี้ต้องพูดแบบนี้ แต่ละ tense มันก็มีนัยยะของมันบอกอยู่ เค้าก็แค่พูดตามที่เค้ารู้สึก❜❜ เพราะงั้นเราจึงต้องเข้าใจถึงแก่นของมันเหมือนที่ภาษาไทยมันซึมอยู่ในใจเรา

อย่างถ้าให้อธิบายคำว่า "แล้ว" กับฝรั่ง จะบอกแค่ว่าใส่ท้ายประโยคในสิ่งที่ทำไปแล้ว ก็ไม่ใช่ซะทีเทียว ถ้าพูดว่า"กำลังจะไปแล้ว" สรุปมันไปหรือยังไม่ไป เนี่ยย! บางอย่างเราพูดโดยธรรมชาติ และก็ไม่สามารถอธิบายได้เพราะใช้ความรู้สึกจำ เพราะงั้นเราต้องทำให้ได้แบบเดียวกันกับภาษาอังกฤษค่ะ

🍟 ❛❛อย่าลืมทำให้รอบตัวเราล้อมไปด้วยภาษาอังกฤษให้มากที่สุดด้วยค่ะ❜❜ เวลาจดโน้ต ช้อปปิ้งลิสต์ก็ลองจดเป็นภาษาอังกฤษ ตั้งค่าโทรศัพท์ รวมถึงแอพต่างๆให้เป็นภาษาอังกฤษ อ่านไม่รู้เรื่องก็งมเอาค่ะ ใช้บ่อยๆมันจะได้ชิน จะได้บังคับให้ตัวเองเรียนรู้ศัพท์ด้วย ช่องทางโซเชียลก็กดติดตามช่องสอนภาษาไว้เยอะๆจะได้ผ่านหูผ่านตา มีเวลาก็แวะอ่านบ้าง

ความยาวเกินแล้ว เดี๋ยวมีต่อพาร์ทสองด้วยนะ รอติดตามได้เลย

ภาคสองมาแล้ววว คลิก >> How to เก่งภาษาอังกฤษ พาร์ท 2

🍎🍎

#ภาษาอังกฤษ #เรียนภาษาอังกฤษ #เรียนออนไลน์ #เรียนภาษา #English #ชี้เป้า #ชีวิตมัธยม #ชีวิตมหาลัย #สอบ