Lemon8 Загрузчик видео

Самый простой способ скачать видео и галерею из приложения Lemon8

🍋หมั่นชำระศิล...ขอขมากรรม🍋

🍋หมั่นชำระศิล...ขอขมากรรม🍋

Компьютер: щелкните правой кнопкой мыши и выберите "Сохранить ссылку как..." для загрузки.

PHOTOS
🍋หมั่นชำระศิล...ขอขมากรรม🍋 JPEG Скачать

การที่เราทำความดีก็ดี ทำความชั่วก็ดี..แม้เพียงเล็กน้อย แต่เล็กน้อยนั้นถ้าโยมทำอยู่เป็นประจำ เช่นมาเจริญกรรมฐานอยู่เป็นประจำ ไม่มาเจริญที่นี่ไปเจริญที่นั่น..อยู่ที่บ้านก็ดี ตัวของเราเองเจริญละมันอยู่บ่อยๆ มันสะสมมันก็มีกำลัง

นั้นบุคคลที่ทำคุณงามความดีมาก็ตาม คุณงามความดีเหล่านั้นก็จะตามติดรักษาเช่นเดียวกัน นั้นความดีอะไรที่เป็นอมตะเล่า ความดีที่เป็นอมตะคือความดีที่ได้จากการเจริญศีลสมาธิปัญญา มันเป็นอริยมรรคอริยผล ที่จะติดตามมาไม่ว่าเราจะอยู่ในภพภูมิชาติใดก็ตามที่เราเสวย

นั้นในภพภูมิชาตินี้ที่เราเสวยอยู่ ไม่ว่ามันจะเป็นทุกข์เป็นสุข เป็นสิ่งใดก็ตามไม่ทุกข์ไม่สุขก็ตาม ศีลสมาธิปัญญาตรงนี้ที่เราเคยอบรมบ่มจิตไว้..มันจะตามคอยรักษา ให้เรานั้นพ้นจากพันธนาการในสิ่งใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นวิบากกรรมจากเจ้ากรรมนายเวร หรือหนี้กรรมใดก็ตาม ตัวเหล่านี้แลที่เราสร้างสะสมไว้ มันจะมาเกื้อหนุนและมันจะต้องมีอะไรชดใช้..

แต่ในการชดใช้นั้นมันเป็นไปเพื่อเรานั้นอยู่ในความพอใจ ที่เรานั้นยอมสละได้ คือไม่ยึดไม่ติดในยามที่เราต้องเสีย เพื่อชดใช้ให้เรานั้นพ้นจากวิบากกรรม แล้วเราจะมีสิ่งอื่นที่มาทดแทน ดังนั้นขอให้พวกโยมมีศรัทธาในสิ่งที่พวกโยมทำ สิ่งที่พวกโยมทำ..กรรมดีแม้เพียงเล็กน้อย ก็มีอานิสงส์..

ถ้ากรรมอันใดที่ทำไปแล้ว..ไปเพื่อหลุดพ้น ไปเพื่อสู่ทางเดินแห่งมรรคเพื่อความหลุดพ้นแล้ว..มีอานิสงส์มาก เช่นการเจริญกรรมฐานวิปัสสนา แม้เจริญสมถกรรมฐานก็ดี ยังไม่ถึงวิปัสสนาก็ดี แค่เจริญสมถกรรมฐาน คือมีอารมณ์กรรมฐานที่ตั้งให้จิตเรานั้นมีความสงบก็ดี..ก็มีอานิสงส์มาก ยังไม่ต้องเข้าถึงวิปัสสนาเลย แค่สมถกรรมฐานทำใจให้เราสงบ ก็คือการเจริญภาวนาจิตนี้แลในอานาปานสติ..ก็มีอานิสงส์มาก

เพราะมันทำให้เรานั้นเข้าถึงศีล เข้าถึงความสงบ ศีลนี้เมื่อเข้าถึงความสงบระงับแล้ว..มันระงับอะไรได้บ้าง ระงับไม่ให้จิตเรานั้นมีความอาฆาตพยาบาท ถึงจิตเราลึกๆยังจะมีอยู่ แต่จิตในปัจจุบันนั้นเราระงับแล้ว ปิดอบายภูมิแล้ว คนที่เข้าถึงศีลมีความระงับแล้วในขณะนั้น ย่อมเข้าถึงโภคทรัพย์สมบัติได้ ย่อมทำให้เกิดความคล่องตัวได้..

นั้นบุคคลที่เจริญสมถกรรมฐานเจริญภาวนา ย่อมทำให้มีความคล่องตัวในทางโลกวิสัยได้ แต่บุคคลใดเมื่อเข้าถึงสมถกรรมฐานแล้ว..ยกจิตเข้าสู่วิปัสสนาญาณ คือให้พิจารณาร่างกายสังขาร เห็นโทษเห็นภัยในวัฏฏะแม้ขณะจิตเดียว เพื่อเห็นความเบื่อหน่ายแห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้ เค้าเรียกยกจิตเข้าสู่ความเป็นอริยะ..

ทีนี้คนที่จะเป็นอริยะก็เกิดจากปุถุชนนี้แล เค้าเรียกว่าโคตรภูญาณ..อยู่ระหว่างความเป็นมนุษย์ ก่อนจะเป็นความเป็นมนุษย์ต้องมีอมนุษย์ก่อน อมนุษย์ก็คือจิตมนุษย์ผู้ที่ยังไม่เข้าถึงศีล นั่นเรียกยังมีอมนุษย์อยู่ ยังมีความโลภ ความโกรธ ความหลง ถึงแม้จะเป็นมนุษย์แล้วแต่ก็ยังมีความโลภ ความโกรธ ความหลง..แต่จะมีความเบาบาง อยู่ในขอบเขตของศีล

ดังนั้นแล้วเมื่อจิตพวกนี้เข้าถึงการอบรมบ่มจิตแล้ว ยกจิตเข้าสู่วิปัสสนาญาณ เค้าเรียกว่ายกจิตเข้าสู่ธรรมอันสูง ธรรมอันสูงคืออะไร จิตผู้ที่มีจิตใจที่สูงแล้ว พ้นจากอกุศลจิต พ้นจากความอาฆาตพยาบาทอิจฉาริษยาแล้วนั่นเอง นั่นแหล่ะรอยกจิตเข้าถึงวิปัสสนาญาณ เข้าถึงความเจริญปัญญา

ถ้าบุคคลใดเข้าถึงวิปัสสนาญาณ เจริญจิตภาวนามีญาณทัศนะเห็นโทษภัยวัฏฏะ แม้กำลังจะหาทางออกอยู่ แต่ขณะใดที่เห็นแล้วนั่นแล..จิตตัวนั้นจะไม่มีวันลืมไปไหน เพราะจิตตัวนั้นไม่ได้อยู่ในสัญญา ไม่อยู่ในเครือข่ายของขันธ์ ๕ ไม่อยู่ในสมมุติ แต่เป็นจิตที่เป็นวิมุติ

บุคคลใดที่จะเจริญวิปัสสนาญาณ..ต้องจิตเข้าถึงความเป็นวิมุติแล้วนั่นเอง ตั้งแต่โสดาบันปัตติผลขึ้นไป เพราะคนที่เข้าวิปัสสนาญาณ..จิตต้องเข้าถึงความเป็นวิมุติก่อน นั้นถ้าจะไปวิปัสสนาญาณก็ต้องเห็นอารมณ์ก่อน ถ้าไม่เห็นอารมณ์จะไปพิจารณาละไม่ได้ เพราะยังติดอยู่ในอารมณ์อยู่ ติดเกี่ยวข้องในขันธ์ ๕ อยู่ ติดเกี่ยวข้องในกามคุณ ๕ อยู่ ติดเกี่ยวข้องอยู่ในนิวรณ์ ๕ อยู่ นี่ไม่สามารถจะเข้าสู่วิปัสสนาญาณได้โดยปริยาย โดยนัยใดก็ตาม

แต่เมื่อใดจิตพ้นจากขันธ์ ๕ จิตพ้นจากขันธมาร จิตพ้นจากนิวรณ์ ๕ แล้ว จิตพ้นจากการปรุงแต่งเมื่อไหร่ นั่นแหล่ะจิตที่เป็นอิสระ จิตที่เข้าสู่วิปัสสนาญาณ จิตผู้เข้าสู่ความเป็นวิมุติ จิตที่เข้าสู่ความเป็นวิมุตินี้ไม่เกี่ยวข้องกับสมมุติบัญญัติในขันธ์ ๕ อีกต่อไป มันเกี่ยวข้องกับอริยมรรคอริยผล นั่นคือจิตที่เข้าถึงความเป็นอมตะ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับโลกนี้

นั้นคนที่เจริญวิปัสสนาญาณ ญาณ..คือจิตที่เข้าไปเห็นการเกิดแก่เจ็บตาย แล้วเห็นโทษเห็นความเบื่อหน่าย เห็นตามความเป็นจริง ความเบื่อหน่าย..ก็คือต้องเห็นตามความเป็นจริง ถ้าเห็นความเบื่อหน่ายแต่ไม่เห็นตามความเป็นจริง มันก็แค่เบื่อๆและอยากๆ

แต่ถ้ามันเห็นตามความเป็นจริงเมื่อไหร่ นั่นแล..เมื่อมันเบื่อแล้ว มันจะไม่กลับไปอยากอีก เพราะมันเห็นโทษแล้วจริงๆ แต่ถ้ามันเบื่อแล้วมันยังกลับไปอยากอีก..แสดงว่ายังไม่เห็นแจ้ง เมื่อยังไม่เห็นแจ้งแล้วยังมีความสงสัยอยู่ ไอ้ตัวยังมีความสงสัยตรงนี้แล..แสดงว่ามันมีความบกพร่องของศีล นี่ก็คือความสำคัญ..

นั้นบุคคลประพฤติปฏิบัติไปแล้ว แม้เราจะมีความชั่วเลวทรามอย่างไร ไม่อยู่กับร่องกับรอยของศีล แต่เมื่อเราประพฤติปฏิบัติไปเราจะมีความเกรงกลัว มีหิริมีโอตัปปะ มีความยับยั้งชั่งใจอยู่ในขอบเขตของศีลนั้นเมื่อไหร่ จิตที่ความเป็นวิมุติเป็นอริยะและก็วิปัสสนาญาณ..ทีนี้มันจะแจ่มแจ้งขึ้น

นั้นขอให้เข้าใจว่าถ้าเราไม่มีศีลที่ตั้งมั่น อย่างน้อยคือศีล ๕ ถ้าศีล ๕ ไม่มีกำลัง..ยังไม่ตั้งมั่น วิปัสสนาญาณเราจะแจ่มแจ้งไม่ได้ แต่เมื่อใดเรามีศีล ๕ มีกรรมบถ ๑๐ มีกายวาจาใจที่สุจริตแล้ว นั่นแหล่ะละสังโยชน์ ๓ ได้ นั่นแหล่ะเข้าถึงวิปัสสนาแล้ว ทีนี้มันจะแจ่มแจ้ง พิจารณาอะไรก็แจ่มแจ้งแทงตลอดในอริยสัจได้..อย่างนี้

นั้นขอให้โยมเข้าใจว่าครั้งใดที่เรามาเจริญศีลมาภาวนา ขอให้เราชำระศีลเสีย เหมือนการชำระหนี้สงฆ์นี้แล เราชำระศีลซะ ชำระอย่างไร ชำระกาย..กายของเราที่เราเคยไปกระทำผิด ประพฤติผิดในกามอะไรก็ตาม ให้ระลึกเสีย ไปเบียดเบียนล่วงเกินในสรรพสัตว์ในชีวิตใดก็ตาม วาจาอะไรที่เราเคยไปกล่าววาจาไม่ชอบ ที่เป็นวาจาทุจริต วาจาที่ใส่ร้ายเสียดสีนินทาทั้งหลาย ใจที่เราไปคิดอยากโลภอยากได้อะไรก็ตาม ให้เราระลึกแล้ว..ละอายต่อกรรมนั้นเสีย ละอารมณ์นั้นเสีย ขอขมากรรม..

คนที่ยังไม่เข้าถึงกระแสพระรัตนตรัย..ต้องขอขมากรรมอยู่บ่อยๆ มีผลอย่างไร การขอขมากรรมก็เหมือนเรานั้นมีความสำนึก ทำมันอยู่บ่อยๆ ละมันอยู่บ่อยๆ ก็เหมือนเราละมันอยู่บ่อยๆ ทำอะไรอยู่บ่อยๆนั่นแลมันจะเกิดความชิน มันจะเกิดความคุ้นเคย ทำความดีอยู่บ่อยๆก็เกิดความคุ้นเคยกับความดี ทำความชั่วอยู่บ่อยๆก็เกิดความคุ้นเคยกับความชั่ว ก็เช่นเดียวกัน

เราพูดกล่าวคำชั่วอยู่บ่อยๆมันก็ชินกับคำชั่วบ่อยๆ วาจานี้แลก็เหมือนกัน นั้นการกล่าวคำอโหสิกรรมบ่อยๆ แล้วน้อมระลึก..ทำเพื่ออะไร แม้วาจาเรากล่าวไปแต่จิตเรายังไม่เข้าถึง แต่จิตวิญญาณเรารับรู้ได้ กล่าวมันอยู่บ่อยๆ ฟังมันอยู่บ่อยๆ สักวันเราจะซึมซับ พอมันซึมซับ..เราเข้าถึงแล้ว และเมื่อใดเราได้มีบทเรียนแล้วเมื่อไหร่นั่นแล..ไอ้สิ่งที่เรากล่าวที่เราประพฤติไปมันจะให้ผล มันจะเป็นประจักษ์ต่อเราเอง

การที่เรากล่าวขอขมากรรม ก็เพื่อให้เรามีใจที่ดำริออกจากความอาฆาตพยาบาทเสียก่อน นั่นแหล่ะเป็นทางแห่งมรรคอย่างหนึ่ง อะไรที่เรายังไม่เกิดเป็นผล..ให้เรานั้นเจริญมรรคอยู่บ่อยๆ พอเจริญมรรคอยู่บ่อยๆ กระทำอยู่บ่อยๆ ระลึกอยู่บ่อยๆ หรือหาทางอยู่ก็ตาม พอเราหาทางได้ พอเราเห็นทางแล้ว เราจะเริ่มมีศรัทธา

พอเราเริ่มมีศรัทธาแล้วลงมือประพฤติปฏิบัติไป ลงมือปลูกไป..ต้นศีล ต้นทาน ต้นภาวนา ต้นปัญญานี้ พอมันจะเริ่มเติบโตให้เราเห็นแล้ว นั่นแหล่ะของพรรค์นี้มันจะเป็นของปัจจัตตัง ใครทำใครเห็น ใครทำใครรู้ ใครไม่ทำใครไม่เห็น ใครไม่ทำก็ไม่รู้ นี่แหล่ะมันเป็นของเฉพาะบุคคล..

เทศนาธรรมกรรมฐานวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๗

มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต

บ้านโปร่งวิเชียร อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี

ติดตามข้อมูลข่าวสารกิจกรรมของมูลนิธิได้ทาง https://www.facebook.com/mprs.foundation

ติดตาม คลิปธรรมะได้ทาง YouTube channel : ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต