从 Lemon8 应用程序下载视频和图库的最简单方法
桌面:右键单击并选择“将链接另存为...”进行下载。
PHOTOS | |||
JPEG | 下载 | ||
JPEG | 下载 | ||
JPEG | 下载 | ||
JPEG | 下载 | ||
JPEG | 下载 | ||
JPEG | 下载 | ||
JPEG | 下载 | ||
JPEG | 下载 | ||
JPEG | 下载 | ||
JPEG | 下载 |
00
“ไม่ใช่หมายเลขบท”
ดอยหลวงตาก ยอดดอยที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,175 เมตร ตั้งอยู่วนอุทยานน้ำตกห้วยแม่ไข่ ต.ทุ่งกระเชาะ อ.บ้านตาก จ.ตาก ระยะทางถึงยอดดอยรวมไปกลับ 22 กิโลเมตร ระดับความชันไม่ยากมาก มีชั้นน้อยชันมากสลับกันไป
ไม่กล้าบอกว่าใช้เวลานานแค่ไหนในการเดินแต่สำหรับคนที่เดินป่าครั้งแรกกับกระเป๋าหนักๆที่อยู่บนหลังผมใช้เวลาทั้งหมด
6 ชั่วโมงรวมพัก นี่คือความรู้ที่ทราบหลังจากไปถึงและได้เดินแล้วเพราะไม่ได้ศึกษาหรือเตรียมตัวไปก่อนเลย ใช่ครับ “00 ไม่ใช่หมายเลขบท” แต่เป็นความรู้หรือการเตรียมพร้อมก่อนเดินของผมเอง…
01 “ตัดสินใจชั่วขณะ”
เคยได้ยินประโยคนี้ไหมครับ? “อยากลงมือทำอะไรให้ลองเลยอย่ารอพร้อม เพราะถ้ารอพร้อมมันจะไม่ได้ทำเลยก็ได้” แต่ผมไม่คิดว่าการที่ไม่พร้อมจะไม่พร้อมขนาดนี้ ไม่พร้อมในที่นี้คืออุปกรณ์และการเตรียมตัวต่างๆที่ไม่รู้ว่าอุปกรณ์แคมปิ้งที่เรามีมันจะใช้ในการเดินไกลๆในป่าได้หรือเปล่าเพราะส่วนใหญ่แล้วจะมีน้ำหนักที่ค่อนข้างหนักพอสมควร
ทั้งๆที่ในหัวมีเรื่องราวมากมายให้คิดแต่การเดินทางครั้งนี้ผมใช้เวลาน้อยนิดแค่เพียงอ่านคำชวนทางไลน์ที่เด้งมาแล้วลุกไปเช็คอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ก่อนตอบรับคำชวนว่า “ไปครับ”
หรือเป็นเพราะมีเรื่องให้คิดมากมายหลายเรื่องเลยทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ไม่อยากคิดเยอะ
02 “ปล่อยให้ตัวเองได้เรียนรู้”
นอกจากคำแนะนำเบื้องต้นจากพี่ที่ชวน ผมไม่ได้ดูรีวิวหรือหาข้อมูลเพิ่มเติมเลย นอกจากชื่อดอยที่จะไปกับจังหวัดที่ตั้งนอกนั้นผมก็ไม่รู้อะไรเลย ทั้งหมดนี้เป็นความตั้งใจของผมที่อยากจะได้เห็นในมุมของผมเอง ความงามของธรรมชาติที่มันเกิดขึ้นขณะนั้นจากมุมมองของผมเอง
รวมถึงผมจะได้ทำความรู้จักตัวเอง พูดคุยกับตัวเองในความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นในยามที่เหนื่อยหรือลำบากจากตัวผมเอง ไม่อยากให้มุมมองของคนอื่นมาแทรกในความคิดให้เป็นภาพจำก่อนที่จะเจอกับตัวเอง
03 “โดนต้อนรับด้วยน้ำป่า”
เราถึงตัวอำเภอบ้านตากในช่วงก่อนหกโมงเช้านิดๆหลังจากที่จอดนอนในปั๊มน้ำมันเพื่อรอให้สว่างก่อนที่จะออกไปจุดนัดพบเพื่อเตรียมพร้อมเดินป่าในเช้าวันที่ 14 ต.ค. 2566
จากตัวอำเภอเมืองจากไปยังจุดนัดพบเราก็เจอกับการต้อนรับที่ทำให้คนที่ไม่ศึกษาอะไรมาเลยได้ตกใจเล่นๆคือน้ำป่าท่วมเส้นทางที่จะไปถึง 2 เส้นเพราะคืนที่ผ่านมาตอนที่เรานอนในปั๊ม ฝนตกหนักที่อำเภอบ้านตากทำให้ต้องวนรถหาเส้นทางใหม่เพื่อไปยังจุดนัดหมาย
“นี่ยังไม่เดินเลยก็ได้เรียนรู้หัวใจตัวเองตั้งแต่เช้าเลยหรอ”
04 “หอบหัวใจไปสู่ป่า”
หลังจากที่เตรียมตัว หัวใจ และสัมภาระเรียบร้อยแล้วเรากับกลุ่มที่เดินด้วยกัน 10 คน หอบเอาสัมภาระที่นำมาคนละใบที่มีน้ำหนักแตกต่างกันไปหากเยอะเกินไปก็เรียกใช้บริการลูกหาบ ส่วนเราอยู่บนหลังตัวเองทั้งหมดรวมๆน่าจะมากกว่า 10 กิโลกรัมแล้วพาตัวเองขึ้นหลังรถกระบะอีกทีหนึ่งเพื่อไปยังจุดเริ่มเดิน
จุดเริ่มเดินไปยังยอดดอยหลวงตากที่มีป้ายตั้งอยู่ทำให้รู้ว่าเรากำลังจะเดินจริงๆแล้วนะ มีประโยคหนึ่งที่สะดุดตาก่อนชื่อของดอยซะอีก คือประโยคที่บอกระยะทางเป็นเลขหนึ่งไทยสวยๆ 2 ตัวที่เป็น 11 กิโลเมตร ซึ่งยอมรับตามความจริงเลยว่าพึ่งทราบระยะทางที่ต้องเดินตรงหน้าป้ายจริงๆ นี่คือสิ่งหนึ่งที่ผมพึ่งทราบแต่ก็ไม่ได้ทำให้ใจผมห่อเหี่ยวหรือท้อแต่อย่างใด
และอีกสิ่งที่ผมไม่รู้เมื่อขยับสายตาไปทางขวาจากป้ายนิดหนึ่งคือกระแสน้ำหลากที่เกิดจากฝนที่ตกหนักเมื่อคืน ผมทราบถึงความลึกเมื่อเห็นคนที่ลุยไปก่อนน้ำขึ้นสูงเลยพร้อมกับค่อยๆถอดรองเท้าที่พึ่งจะรัดเชือกแน่นๆพร้อมเดินในไม่กี่นาทีที่ผ่านมาเพื่อไม่ให้เปียกตั้งแต่เริ่มต้น
05 “ความเงียบในใจที่ดังกว่าเสียงเท้า”
เราเริ่มเดินในช่วงเวลา 9 โมงเช้ากับแสงแดดที่ค่อยๆคลายรังสีความร้อนมากระทบผิวหนังแต่ยังดีที่มีความชุ่มชื้นจากฝนตกและร่มไม้ที่มีตลอดสองข้างทางมาชะโลมผิวแทนครีมกันแดดไม่ให้ร้อนมากเกินไป
ในระยะทาง 2-3 กิโลเมตรแรกเราพูดคุยกันทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมเดินทางถามไถ่ถึงความพร้อมในการเดิน ใครเคยไปเดินที่ไหนมาแล้วบ้าง รวมถึงถามไถ่ถึงเรื่องทั่วๆไปในหลายๆเรื่องให้เราได้ผ่อนคลายไม่เกร็งเกินไปที่จะใช้เวลาร่วมกันต่อจากนี้ไปอย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่า 5 ชั่วโมงในการเดิน
หลังจากที่เดินไปสักพักต่างคนก็ต่างเงียบและเดินในจังหวะของตัวเอง บ้างเดินนำหน้า บ้างแวะถ่ายรูป บ้างเดินช้าๆ ความเงียบที่ค่อยๆเกิดขึ้นอาจจะมีอยู่ 2 อย่างคือเหนื่อย หรือ เงียบเพราะเรากำลังคุยกับตัวเอง เรียนรู้ตัวเอง ตอบคำถามตัวเองในใจในหลายๆเรื่องที่ค้างคามาตลอด ผมคิดว่าอย่างที่สองต่างหากที่ทุกคนกำลังทำมันอยู่
เมื่อทุกคนอยู่สถานที่ที่ยากลำบาก ความสุขเล็กๆที่เกิดขึ้นมันยิ่งใหญ่ในแบบที่ที่ตัวเองในเวอร์ชั่นแรกที่ยังไม่ได้มาสัมผัสก็บอกไม่ได้ว่ามันมีความสุขขนาดไหน แต่ตัวเองในเวอร์ชั่นที่มาสัมผัสแล้วมองกลับไปในเวอร์ชั่นแรกแล้วอยากบอกตัวเองว่าชีวิต ความสุขสบายที่เป็นอยู่มันมีความสุขมากแล้ว อย่ามองข้าม แต่ให้เก็บเกี่ยวมันให้ได้มากที่สุดอย่างกับมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานบนผืนโลกใบนี้
“เราตอบคำถามตัวเองที่เคยตั้งคำถามมากมายก่อนหน้านี้
ในขณะที่จิตใจสงบ มันคือคำตอบที่เกิดขึ้นเองภายในใจจริงๆ”
06 “จังหวะชีวิตของใครของเรา”
หลังจากที่เดินไปได้ประมาณ 3 กิโลเมตรกับทางที่ค่อยๆชันขึ้นเรื่อยๆบวกกับน้ำหนักของกระเป๋าที่คิดว่าไม่ได้เพิ่มขึ้นจากเดิมเลยแต่ทำไมมันหนักขึ้นเรื่อยๆหนักจนรู้สึกว่าเริ่มเหนื่อย หายใจแรงขึ้นๆ ฝืนต่อไปอาจจะไม่ดีต่อระบบหายใจ ผมอาศัยอัตราการเต้นของหัวใจในนาฬิกาข้อมือของพี่ที่เดินด้วยกันเพราะผมไม่มีนาฬิกาที่มีฟังก์ชันเช็คอัตราการเต้นของหัวใจ หากว่ามากไปก็หยุดพัก
หากมองไปถึงจังหวะชีวิตที่ไม่มีเครื่องวัด ไม่มีเกณฑ์บอกว่าดีต้องเท่าไหร่หรือไม่ดีต้องแค่ไหนเหมือนอัตราการเต้นของหัวใจ และแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันอีกมันจึงเทียบไม่ได้ว่าเราทำอะไรหลายๆสิ่งเหมือนกันไม่ได้บ่งบอกว่าผลลัพธ์ที่ได้จะเหมือนกันเพราะทุกคนมีจังหวะชีวิตของใครของเรา
07 “ความทุกข์อยู่ถูกที่มันก็ไม่หนักมาก”
ความทุกข์ที่ว่าคือสิ่งที่ทำให้ภายในใจเราในขณะนั้นรู้สึกไม่ดีใช่ว่ามันจะเป็นทุกข์ตลอดไปในบางครั้งมันอยู่ถูกที่ถูกเวลามันก็อาจจะมีค่ามากกว่าความทุกข์ก็ได้ จากประสบการณ์เดินป่าเป็นศูนย์ทำให้พกอะไรที่คิดว่าจำเป็นมามากมายเริ่มหนักเพิ่มขึ้นตามกำลังขาและกล้ามเนื้อแผ่นหลังเริ่มล้าลง
ถึงแม้ว่ารู้แล้วว่าสิ่งไหนไม่จำเป็นที่ทำให้กระเป๋าหนักก็ไม่สามารถที่ทิ้งได้เพราะเราตัดสินใจเอามาแล้วเราต้องเอาไปด้วยจนจบเพราะมันยังมีค่าในเวลาอื่นเว้นแต่ขนมและอาหารและน้ำที่ยังพอจะกินเพื่อที่จะลดน้ำหนักในกระเป๋าได้อยู่แม้จะช่วยได้เพียงเล็กน้อย
อาหาร น้ำ ขนม ที่กินเข้าไปในระหว่างการเดินทางทำให้กระเป๋ารู้สึกเบาลงทั้งๆที่เท่าๆกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นจากอาหารในกระเพาะ หรือเป็นเพราะความทุกข์มันอยู่ถูกที่มันเลยไม่หนัก
“สิ่งไหนที่นำมาแล้วไม่ได้ใช้
คือความทุกข์ที่ปล่อยวางไม่ได้
แต่ก็ทำให้รู้
ว่าต่อไปจะไม่นำมาอีก”
08 “ธรรมชาติโอบกอดให้หายเหนื่อย”
ตลอดระยะทางก่อนถึงจุดกางเต๊นท์ที่เดินจะมีความชันที่ปรับเปลี่ยนจากชันมากไปน้อยชันน้อยไปมากเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆต่างจากขี้ของน้องวัวที่มากขึ้นเรื่อยๆให้คอยระวังสลับกับมองความงามของธรรมชาติเพราะไม่อย่างงั้นกลิ่นของขี้วัวคงตามเราไปตลอดเพราะน้ำที่มีต้องใช้อย่างจำกัดจะนำมาล้างคงไม่พอที่จะใช้กับเวลาที่เหลือ
ด้วยสภาพอากาศในฤดูฝนที่มีท่าทีว่าจะตกลงมาตลอดเวลาก็ทำให้ใช้เวลาหยุดนิ่งเพื่อชมความงามของธรรมชาติได้ไม่นานหนักเพราะเกรงว่าจะเปียกทำให้ใช้ชีวิตในการนอนลำบากเพราะชุดที่นำมามีจำกัดแต่ก็เพียงพอในการยื่นจมูกไปสูดอากาศที่บริสุทธิ์และอ้าแขนไปสัมผัสหมอกที่ลอยป่านตัวอยู่ตลอดสองข้างทาง
เพียงพอจะเอาตัวเองไปพิงต้นไม้ให้หายเหนื่อยแล้วเดินต่อรวมถึงมีเวลามากพอที่จะกดชัตเตอร์เพื่อเก็บภาพไว้เพราะเราไม่รู้ว่า 1 นาทีหลังจากนี้จะได้ภาพแบบนี้อีกไหม เพราะบรรยากาศหรือภาพที่มองเห็นที่เกิดจากธรรมชาติมันไม่อาจคาดเดา
แม้แต่บนยอดดอยที่เรากำลังจะไปก็เดาไม่ได้ว่าจะเจอหมอก เจอแสงอาทิตย์ หรือดวงอาทิตย์ขึ้น ดวงอาทิตย์ตกหรือไม่
ณ. เวลานั้น ณ. ตรงนั้นเท่านั้นที่จะบอกได้ว่าจะเจออะไรบ้าง เราไม่ต้องคาดหวังว่าจะเจออะไรบ้างเพราะเรากำหนดไม่ได้ สิ่งที่เราทำได้คือพาตัวเองไปให้ถึงตรงนั้นในเวลาที่มันควรจะเกิดเป็นสิ่งเดียวที่ทำได้ส่วนที่เหลือเราคาดหวังได้แต่ไม่ควรเสียใจถ้ามันไม่เป็นไปตามที่หวัง
“คาดหวังความสวยงามจากธรรมชาติได้
แต่อย่าเสียใจหากไม่เป็นไปตามที่คิดไว้
สิ่งที่ทำได้คือพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิด”
09 “ด่านสุดท้าย”
ด่านสุดท้ายก่อนถึงจุดตั้งแคมป์ถ้านับระยะทางที่เดินก็พาตัวเองกับกระเป๋าที่หนักๆอยู่บนหลังมาถึงกิโลเมตรที่ 9 แล้วก่อนจะเดินทะลุป่ากล้วยที่เต็มไปด้วยน้องทากที่พร้อมจะเกาะเราไปด้วยสิ่งที่ควรทำคือใช้แรงที่เหลืออยู่พาตัวเองเดินเร็วหรือถ้าแรงยังเหลือเยอะก็พาตัวเองวิ่งเพื่อพาตัวเองพ้นป่ากล้วยให้เร็วที่สุด
พอเดินเร็วไปได้ครึ่งทางของป่ากล้วยฝนก็ตกลงมาเหมือนตั้งใจให้ด่านสุดท้ายของเกมส์มันมีความระทึก ถ้าหยุดใส่เสื้อกันฝนทากทั้งหลายก็พร้อมที่จะเกาะตัวไปด้วยถ้าไม่หยุดใส่เสื้อกันฝน กล้องถ่ายภาพ ถุงนอน ก็จะเปียก นอนไม่ได้ มากกว่านั้นคือกล้องอาจจะพังได้
“และแน่นอนผมเลือกที่จะวิ่งหนีทาก😅
10 “ธรรมดาที่สุขโข”
หลังจากแวกใบกล้วยที่รกบังสายตาของต้นกล้วยต้นสุดท้ายของระยะทางที่วิ่งหนีทากออกมาแล้วก็เห็นลานๆโล่งๆพื้นแฉะๆจากฝนตกที่โดนปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่ๆอีกที
นั่นคือจุดกางเต๊นท์ของเราแต่มันไม่สามารถกางได้เลยในตอนนั้นทั้งๆที่ใจอยากจะกางและ วางกระเป๋าแล้วเอนตัวนอนให้หายเหนื่อยสักทีกลายเป็นว่าต้องเอาตัวเองไปซุกเบียดกับคนอื่นอยู่ที่เพิงกระสอบปุ๋ยที่ลูกหาบทำไว้เพื่อหลบฝนรู้ตัวอีกทีก็กอดกระเป๋าหลับไปประมาณ 10 นาที ตื่นขึ้นมาอีกทีเพื่อนหายไปจองพื้นที่กางเต๊นท์หมด😅
หลังจากกางเต๊นท์ที่มีพื้นที่ให้เลือกไม่มากบนพื้นหญ้าชุ่มๆเสร็จก็นำอาหารที่พกมามากำจัดน้ำหนักในมื้อเย็นของวัน ต่างคนต่างนำอาหารของตัวเองทั้งแบบพร้อมทานและแบบต้องประกอบอาหารมาแบ่งปันกันส่วนใหญ่จะเป็นอาหารแห้งที่พกพาง่ายและมีน้ำหนักเบา
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบคัพกับไข่ต้มหนึ่งฟองที่อาจจะธรรมดาถ้าอยู่ในอีกสถานที่แต่พอมาอยู่ในสถานที่แบบนี้มันคือความสุขที่ได้กินมันพลันมองความสวยงามของธรรมชาติที่อยู่ตรงหน้า
“สิ่งที่มองว่าธรรมดา อาจมีค่าถ้าอยู่ในอีกที่หนึ่ง”
11 “ความสุขภายใจใน”
ห่างจากจุดกางเต๊นท์ประมาณ 2 กิโลเมตรที่จะต้องขึ้นไปบนยอดดอยและสนเดียวดายที่เป็นจุดสูงสุดของดอยหลวงตาก หลังจากที่พักผ่อนร่างกายได้สักพักใหญ่ๆแล้วผมก็เดินขึ้นไปต่อ
มันเป็นความสวยงามที่ให้คำตอบของผมทั้งหมดว่าทำไมกันนะ ที่คนเขาพาตัวเองมาเหนื่อย มาลำบากเพื่อเดินทาง 11 กิโลเมตรเพื่อขึ้นมาหามัน
หมอกค่อยๆเคลื่อนตัวช้าๆสลับเร็วตามความแรงของกระแสลม
ดวงอาทิตย์ค่อยๆตกพร้อมกับแสงแดดสีส้มอ่อนๆกระทบใบหญ้าที่ยอดเขา
ความเงียบสงบเริ่มมาจากภายนอกและเข้าไปภายในใจทำให้ผมยืนนิ่งอยู่กับที่แล้วมองไปรอบๆตัว
คำถามในชีวิตมากมายที่เกิดขึ้นมานานและพึ่งเกิดมันค่อยๆตอบตัวเองในเวลานั้น
ได้รู้ความหมายของการมีอยู่ของชีวิตพอสมควร
ได้รู้ถึงคุณค่าของอะไรหลายๆอย่างที่มองข้าม
ได้รู้ว่าอะไรควรปล่อยไปถึงแม้จะเสียดายก็ตาม
เพราะทุกๆอย่างที่ผ่านมาเราจะเก็บไว้หมดไม่ได้
เพราะมันหนักเกินที่จะเก็บไว้ไปพร้อมกับการเดินทางไปข้างหน้า
14-15 ตุลาคม 2566
เรียนรู้ชีวิต