ⓘ HOW TO | สัมภาษณ์งานยังไงให้หัวหน้าโทรมาง้อ ได้งาน100% 😻

( ˆ͈̑꒳ˆ͈̑ )੭♡ สวัสดีค่าทุกคนน หลาย ๆ คนอาจจะจำเราได้แต่หลาย ๆ คนก็อาจจะเพิ่งได้มาติดตามกัน เกริ่นก่อนว่าเราทำงานอยู่บริษัทยา Global แห่งหนึ่ง แล้วเมื่อปลายปีที่แล้วเราได้โพสต์เกี่ยวกับงานที่เราทำไว้ ซึ่งเป็นไวรัลมากกมียอดเข้าชมปัจจุบันเกือบ 300K !! แล้วก็มีคำถามเข้ามามากมาย บวกกับช่วงนี้เหมือนจะเป็นฤดูกาลหางานอีกครั้ง เราเลยอยากมาแชร์เกี่ยวกับการสัมภาษณ์งานที่ทำให้เราได้งานนั้น เผื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ ทุกคนคั้บ🫳🏻

🎀 ใครยังไม่เคยอ่าน เข้าไปดูได้ที่ลิงค์นี้คั้บ: ทำงานที่แรกบริษัทยา Top 5 โลก!!!!💊🩺

ก่อนอื่นเลยขอเล่าว่าตอนนั้นเราเพิ่งจบใหม่ ประสบการณ์ทำงานเป็น 0 เลย เรียนไม่ตรงสายด้วย แต่ตัดสินใจสมัครงาน HR และเรียกเงินเดือน 21K++ ซึ่งเราก็ได้มันมาจริง ๆ และวันที่สัมภาษณ์หัวหน้าก็ถาม ๆ ว่ามีไปสัมที่อื่นอีกมั้ย ซึ่งตอนนั้นเรามีค่ะ ก็บอกไปตามตรงว่ามี เขาก็บอกว่าอย่าเพิ่งไปที่อื่นนะรอพี่ก่อน กว่าจะมาเจอคนที่ถูกใจแบบนี้หานานมาก พอเสร็จกลับมาบ้านหัวหน้าคนเดิมก็โทรมาอีกว่าเดี๋ยวจะโทรมาเรียกจริง ๆ อย่าเพิ่งไปกับที่อื่น แล้วโทรมา 3 รอบเลย55555555 สิ่งที่ทำให้เราตัดสินใจเลือกงานนี้เพราะหัวหน้านี่แหล่ะ เขาตื๊อสุด ๆๆ ดูอยากได้เราจริง ๆ แล้ววันนั้นเราสัมภาษณ์กันเป็นชั่วโมง ด้วยความที่เป็นบ.global เลยโดนสัมเป็นอิ้ง 90% ซึ่งภาษาเราก็ไม่ได้เก่งมากและไม่ได้เตรียมตัวมาด้วยเพราะไม่เคยเจอสัมอิ้งยาวขนาดนี้ i-i แต่โชคดีที่ช่วงนั้นมีเพื่อนต่างชาติเลยคุ้น ๆ กับภาษาและพอถูไถไปแต่ก็เกือบไม่รอด คะแนนโทอิคก็ไม่มี555555555 แต่สุดท้ายก็ได้งานนี้มาแบบงง ๆ ค่ะ ‎(๑ˊ͈ ꇴ ˋ͈)

🪄 TIPS การสัมภาษณ์งาน 📝

ⓘ Disclaimer: ตอนนั้นเราเป็นเด็กจบใหม่และไม่ได้มีประสบการณ์การสัมภาษณ์เยอะมากนะคะ ขออ้างอิงจากประสบการณ์ที่เจอและวิธีที่เรารับมือนะคั้บบ

1. Mindset: ข้อนี้เราได้มาจากเพื่อนเลย เราเป็นคนที่ความมั่นใจติดลบมากกก ยิ่งเรื่องภาษาคือกังวลสุด ๆ เลยไปปรึกษาเพื่อน แล้วเพื่อนแนะนำมาว่าสิ่งที่เราต้องทำคือ “เปลี่ยน Mindset” ทุกครั้งที่เราไปสัมภาษณ์เราต้องคิดว่าเราคือผู้เลือก ไม่ใช่ให้เขามาเลือกเราอย่างเดียว เราต้องไปด้วยความรู้สึกว่าเรามาพูดคุยเพื่อดูว่าบ.นี้เหมาะกับเรามั้ย ห้ามคิดว่าเราเป็น candidate เขา (เพราะมันจะทำให้เรากังวล กลัวเขาไม่เลือก;-;) คิดซะว่าเขานั่นแหล่ะเป็น candidate เรา พอเราคิดแบบนี้ความมั่นใจมันมาจริง ๆ ค่ะ เราไปสัมแบบจอยมากกก ความกังวลว่าเขาจะเลือกเรามั้ยคือไม่มีเลยเพราะรู้สึกเหมือนเราไปดูงานเฉย ๆ ว่าองค์กรเขาเป็นยังไง เหมาะกับเรามั้ย ซึ่งเราคิดว่ามันทำให้เค้าสนใจในตัวเราเพราะเราดูมั่นใจมาก ๆ นี่แหล่ะ555555555

2. First Impression: ข้อนี้สำคัญสุด ๆ เคยอ่านเจอว่ามนุษย์เราจะตัดสินคน ๆ นึงจากการที่เจอเพียง 20 วินาทีแรก เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องทำคือทำให้เค้าประทับใจมากที่สุด เราจะแบ่งเป็น 3 พาร์ทคือการแต่งกาย การปฏิบัติตัวตอนที่ยังไม่เจอHR และตอนเจอแล้ว

𓏳 การแต่งตัว: ข้อนี้สำคัญมาก ควรศึกษาให้ดีว่างานที่เราสมัครเป็นงานประเภทไหนแล้วเขาแต่งตัวกันยังไง ถ้าไม่แน่ใจให้เสิร์ชกูเกิ้ลเลย หรือถ้ายังไม่มั่นใจอีกก็แต่งแบบเซฟ ๆ โดยการใส่เชิ้ตสีสุภาพกับเสื้อเบลเซอร์/สูท กางเกงนี่แล้วแต่องค์กรเลย แต่เราจะเลือกเป็นกางเกงที่ไม่ใช่พวกยีน

𓏳 ตอนเข้าไปในตึกแต่ยังไม่เจอHR: วันนั้นเราไม่รู้เลยว่าใครจะเป็นคนสัมภาษณ์เรา เดินเข้าไปในตึกคือคนเยอะมาก สิ่งที่เราทำคือ “มีน้ำใจและอ่อนน้อม” พอเห็นคนจะใช้ลิฟต์ตัวเดียวกับเราก็กดให้เขาด้วย มันเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ทำให้เขาประทับใจได้จริง ๆ แต่วันนั้นเราก็ไม่ได้เจอเขาในลิฟต์นะ55555555 คือมองทุกคนว่าใครจะเป็นคนที่เราเจอตอนสัมภาษณ์

𓏳 ตอนเจอHRแล้ว: เราไหว้ก่อนเลย แสดงความมีน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ถามว่าให้ช่วยถือมั้ยคะ หรือเปิดประตูให้ถ้าเห็นเขาถือของเยอะ หลังจากนั้นความมั่นใจต้องมา เชิ่ดเท่านั้น ยืดหลังตรงทุกครั้งที่นึกได้ ห้ามไหล่ห่อคอตก และที่สำคัญคือยิ้มเยอะ ๆ วางตัวให้เป็น เวลาจะพูดหรือจะทำอะไรต้องดูก่อนว่าอีกฝ่ายเป็นใคร อายุประมาณไหน ทุกอย่างต้องคำนึงถึงกาละเทศะเสมอ อย่ามั่นใจเกินจนไม่แคร์อีกฝ่าย55555555

3. Presentation: มาถึงพาร์ทการสัมภาษณ์ สำหรับใครที่ไม่มั่นใจในสกิลภาษาของตัวเอง ให้เตรียมตัวท่องไปก่อน มีอะไรบ้างที่เราอยาก present ให้เขาเห็น ชิงพูดก่อนที่เขาจะถามเราละฟังไม่ออก555555555 แต่ที่สำคัญคือห้ามยาวเกิน ขอแบบกระชับ รวบรัด เนื้อเน้น ๆ ไม่เอาน้ำค่ะ ระหว่างที่สัมภาษณ์อาจจะแทรกคำถามบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเราสนใจในองค์กรและงานนั้นจริง ๆ มันจะทำให้เขาประทับใจมากขึ้น

4. English skills: ถึงจะไม่เก่งอิ้งก็ห้ามหงอหรือแสดงความไม่มั่นใจเด็ดขาด!!! จะบอกว่าตอนนั้นเราก็เตรียมตัวไปไม่ดี อย่างที่บอกคือไม่เคยเจอที่ไหนสัมภาษณ์เป็นอิ้งเกือบชั่วโมง55555555 เราเตรียมไปแค่คำถาม basic แต่เขาดันถามเยอะมากกถามเรื่อง project ที่เราเคยทำตอนฝึกงานด้วย ซึ่งเราไม่เคยเจอมาก่อนเพราะเราสมัครงานไม่ตรงสายเลยไม่เคยมีใครถามเลย พอที่นี่ถามละดันเป็นอิ้งอีกคือช้อคค แต่ก็ถู ๆ ไถ ๆ ไป หลุดไทยบ้างเพราะนึกคำไม่ออกจริง ๆ เขาก็ไม่ว่าอะไร คือจำได้ว่าตอนนั้นคิดว่าพูดยังไงก็ได้ให้มันไม่เดดแอร์พอและยังคงคอนเสปยิ้มเยอะ ๆ 🥹

5. Strengths and Weaknesses: จุดนี้ตอนสัมภาษณ์ตายกันเยอะ โดนหักคะแนน! ทริคคือ

𓏳 Strengths: เวลาบอกจุดแข็งอย่าพูดคำว่า “หนูคิดว่า” , “I think” อะไรพวกนี้มันจะทำให้เราดูเป็นคนที่ไม่มั่นใจ เหมือนแบบเราแค่คิดเฉย ๆ ว่ามันเป็นจุดแข็งแต่ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นจริงมั้ย5555555 คือพูดไปเลยว่าเราเป็นคนละเอียดค่ะ ละขยายความเอาว่าเราเป็นคนละเอียดยังไง ยกตัวอย่างสถานการณ์แล้วเอาไปอิงกับเนื้องานด้วย!!! เขาจะได้รู้ว่าจุดแข็งเรามันมีประโยชน์ต่อองค์กรยังไง อีกอย่างมันทำให้เราดูเป็นคนที่ไม่ได้สมัครงานหว่าน ๆ เราอ่าน jd มานะ!!! 55555555

𓏳 Weaknesses: หลาย ๆ คนชอบบอกจุดอ่อนตัวเองแต่ลืมบอกวิธีแก้ไข เราควรพูดไปเลยว่าเรามีจุดอ่อนนี้และ “กำลัง” แก้ไขอยู่ ห้ามบอกว่า “เดี๋ยวจะ” แก้ไข หรือ “อาจจะแก้ไข” โดยวิธีนี้ ๆๆ ห้ามเด็ดขาดดด🙅🏻‍♀️🙅🏻‍♀️ พูดไปเลยว่ากำลังฝึกฝน กำลังพัฒนาค่ะ !!!

💌 ทั้งหมดคือประสบการณ์ที่เราเจอและทริคต่าง ๆ ที่เราเก็บเกี่ยวมา แอบกระซิบว่าตอนนั้นเราลังเลอยู่ 2 ที่ซึ่งเนื้องานต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยไปไหว้ขอพระพิฆเนศตรงห้วยขวาง (แอบมู😹) ว่าขอให้ได้งานที่ใช่ งานไหนที่ไม่ใช่ขอให้มีเหตุหลุดพ้นไป เลยได้งานนี้มาค่ะ อิ____อิ

🤲🏻 สุดท้ายขอเป็นกำลังใจให้เด็กจบใหม่ทุก ๆ คนที่กำลังหางานอยู่หรือใครก็ตามที่อยากย้ายสายงาน ขอให้เจองานที่ใช่เร็ว ๆ นะคะ อย่ากดดันตุวเองมากไปน้าาา อย่าลืมว่ามีงานดี ๆ รอเราอยู่เสมอ! แล้วก็หวังว่าโพสต์นี้จะเป็นประโยชน์กับใครหลาย ๆ คนนะคั้บบบ 💝💝💝

#ติดเทรนด์ #หางาน #เด็กจบใหม่ #เจาะลึกการงาน #สัมภาษณ์งาน #สัมภาษณ์งานยังไงให้ได้งาน #เทคนิคสัมภาษณ์งาน #รีวิวงาน #นักศึกษาจบใหม่ #จบแล้วไปไหน