Téléchargeur vidéo Lemon8

Le moyen le plus simple de télécharger des vidéos et des galeries à partir de l'application Lemon8

Synchronicity: เรื่องบังเอิญไม่มีจริง

Synchronicity: เรื่องบังเอิญไม่มีจริง

Bureau : cliquez avec le bouton droit de la souris et sélectionnez "Enregistrer le lien sous..." pour télécharger.

PHOTOS
Synchronicity: เรื่องบังเอิญไม่มีจริง JPEG Télécharger

Synchronicity

เรื่องบังเอิญไม่มีจริง

‘เมื่อคืนฝันเห็นเพื่อน พอตื่นเช้าเพื่อนคนนั้นก็โทรมา’

‘เจอคนรู้จักที่ไม่ได้เจอกันนาน แล้วเขาก็บังเอิญเป็นคนที่สามารถช่วยแก้ปัญญาที่เราเผชิญอยู่ได้’

‘กำลังนึกอยากได้หนังสือเล่มหนึ่ง สักพักก็มีคนเอามาให้ถึงบ้าน’

สถานการณ์เหล่านี้คือตัวอย่างของเหตุการณ์ที่ดูเหมือนจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญที่มีโอกาสเกิดขึ้นกับเราได้ตามหลักความน่าจะเป็นของเหตุผล แต่เมื่อพิจารณาดี ๆ มันก็ช่างจะสะกิดใจของเราเหลือเกิน ให้เรารู้สึกถึงบางอย่างที่พิเศษ บางอย่างที่อยู่เบื้องหลังชีวิตของเรา บางอย่างที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าเราจะเข้าใจด้วยเหตุผลและคอยส่งสัญญาณให้เราอยู่เสมอปรากฏการณ์ความบังเอิญที่มีนัยความหมายสำคัญแบบนี้ มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า ‘Synchronicity’

❓️ความหมาย❓️

‘Synchronicity’ (ซิงโครนิซิตี้) เป็นแนวคิดที่ถูกนำเสนอโดยบิดาแห่งนักจิตวิทยาวิเคราะห์ คาร์ล กุสตาฟ จุง (Carl Gustav Jung) โดยความหมายของ Synchronicit คือ ‘ปรากฏการณ์ที่มีเหตุการณ์ตั้งแต่ 2 เหตุการณ์ขึ้นไปเกิดขึ้นพร้อมกันหรือต่อเนื่องกัน โดยที่ไม่มีความเชื่อมโยงกันทางเหตุผลหรือความน่าจะเป็น แต่มีความเชื่อมโยงกันอย่างมีความหมายสำคัญในมุมมองของผู้ประสบเหตุการณ์’

หมายความว่า Synchronicity ไม่ใช่แค่สถานการณ์ที่เกิดเรื่องบังเอิญขึ้น เพราะในชีวิตของเราเองก็มีเหตุบังเอิญของสถานการณ์ตั้งแต่ 2 เหตุการณ์ขึ้นไปมากมายอยู่แล้ว แต่จะถือว่าเป็น Synchronicity ด้วยนั้นก็ต่อเมื่อเราสังเกตถึงความหมายที่เชื่อมโยงเหตุบังเอิญนั้นขึ้นมา

⏬️ตัวอย่าง⏬️

ตัวอย่างเหตุการณ์สุดคลาสสิคที่มักหยิบมาอธิบายปรากฏนี้ คือเรื่องของผู้รับบริการคนหนึ่งของคาร์ล จุง เธอเป็นผู้หญิงที่มีกระบวนการทางจิตอยู่กับการใช้เหตุผลทางความคิดมากเกินไป จนทำให้กระบวนการทางจิตบำบัดระหว่างเธอกับจุงนั้นไม่มีการพัฒนา (หรือที่ในวงการจิตบำบัดเราเรียกว่า ‘เคสติด’ ) วันหนึ่งเธอก็เล่าความฝันให้จุงฟังว่า มีคนเอาด้วงสการับทองคำอียิปต์มาให้ แล้วเมื่อเธอเล่าจบ

ก็มีบางสิ่งมากระแทกหน้าตาห้องบำบัด ด้วงตัวหนึ่งบินเข้ามาข้างใน จุงจับมันมาให้เธอ แล้วอธิบายว่ามันคือด้วงในตระกูลสการับ ซึ่งด้วงนี้ตามวัฒนธรรมอียิปต์มีความหมายถึงการเกิดใหม่ ความหมายที่ลึกซึ้งนี้ทำให้เธอเปิดใจตัวเอง เพื่อละทิ้งตัวตนเก่าแล้วเข้าสู่กระบวนการเกิดใหม่ทางจิตวิญญาณ แล้วกระบวนการบำบัดก็พัฒนาต่อไปได้อย่างก้าวกระโดด

เหตุการณ์บังเอิญนี้คงเป็นเหตุการณ์ ‘บังเอิญสามัญธรรมดา’ ถ้าหากว่าเราเพียงแค่ฝันถึงด้วงทองคำในตอนกลางคืน แล้วตื่นมาในตอนเช้าก็เจอด้วงบินอยู่ในสวนหน้าบ้าน แต่สำหรับเหตุการณ์ในตัวอย่างนี้จุงมองว่ามันคือการสื่อสารระหว่างจิตไร้สำนึกกับจิตสำนึก ในแง่มุมที่จิตใจพยายามจะเติบโตทางจิตวิญญาณ

ด้วยทฤษฎีของคาร์ล จุง ที่มุ่งเน้นผสานจิตวิทยาเข้ากับจิตวิญญาณทำให้แนวคิดหลาย ๆ ข้อของเขานอกจากจะถูกนำมาใช้ในวงการจิตวิทยา ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในวงการจิตวิญญาณ Synchronicity เป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่นิยมนำมาใช้ในกลุ่มต่าง ๆ ทางจิตวิญญาณ เพื่อเชื่อมโยงชีวิตของบุคคลเข้ากับตัวตนทางจิตวิญญาณบางอย่าง โดยจะอธิบายที่มาของ Synchronicity แตกต่างกันออกไป เช่น

กลุ่มจิตวิญญาณที่เชื่อในพระเจ้า ก็จะกล่าวว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสัญญาณจากพระเจ้า กลุ่มจิตวิญญาณในทางพุทธศาสนาก็จะเชื่อว่าเป็นผลมาจากการกระทำของเราเอง ซึ่งอาจจะเป็นชาติที่แล้วหรือชาตินี้ก็ได้ และในกลุ่มจิตวิญญาณสมัยใหม่ Synchronicity ก็คือสัญญาณจากจักรวาล ที่พยายามช่วยชี้แนะเรา

❗️ข้อจำกัด❗️

ถึงแม้ Synchronicity ดูจะเป็นปรากฎการณ์แบบพระเจ้ามาโปรด เป็นเหมือนปาฏิหาริย์อัศจรรย์ ที่ช่วยเหลือเราให้ผ่านช่วงจังหวะชีวิตต่าง ๆ ไปได้ แต่ Synchronicity ก็มีข้อจำกัดที่สำคัญมากอยู่ อย่างแรกเลยมันเป็นปรากฎการณ์ที่เราเลือกจะให้เกิดขึ้นไม่ได้ ไม่สามารถกำหนดเวลาหรือคาดหวังให้มันช่วยเราได้ทุกอย่าง

ผลเสียที่ตามมาคือ อาจทำให้เรามีพฤติกรรมที่มัวแต่เฝ้ารอ Synchronicity ให้เกิดขึ้นกับตนเอง การพยายามมองหา Synchronicity ในเหตุการณ์ต่าง ๆ ของชีวิตประจำวัน ซึ่งทำให้เราพลาดในการใช้ชีวิตให้อยู่กับปัจจุบันไป

ข้อต่อมาคือ เราอาจสับสนกับเรื่องบังเอิญทั่ว ๆ ไปที่เป็นเรื่องบังเอิญสามัญธรรมดา ที่ไม่ได้มีความหมายอะไรซ่อนอยู่เลย ซึ่งเป็นเรื่องที่คาร์ล จุงให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ในการพยายามแยก ‘Synchronicity’ กับ ‘ความบังเอิญสามัญธรรมดา’

ตัวอย่างที่ผู้เขียนเคยพบเจอกับคนอื่น และกับตัวเองด้วยนั่นก็คือ ‘การพบเห็นตัวเลขซ้ำ’ ซึ่งการพบเห็นตัวเลขซ้ำนั้น บางทีก็อาจจะไม่ใช่ Synchronicity เสมอไป แต่ก็อนุมานได้ว่าเป็นเพราะพฤติกรรมของคนในปัจจุบันที่อยู่กับโทรศัพท์มือถือบ่อย ทำให้เราพบเห็นตัวเลขบนจอมือถือมาก และสะดุดเข้ากับตัวเลขซ้ำที่คิดว่ามีความหมาย

อย่างสุดท้ายคือ เราต้องทำงานร่วมกับ Synchronicity อย่างเปิดใจ และในหลาย ๆ ครั้งต้องใช้ความกล้าหาญในการตัดสินใจเป็นอย่างมากด้วย ในงานวิจัยและการค้นคว้าส่วนใหม่ถึงแม้เราจะไม่สามารถพิสูจน์ความจริงของปรากฎการณ์ Synchronicity แต่หลักฐานเชิงประจักษ์ก็บ่งชี้ว่า Synchronicity มักจะเกิดขึ้นในช่วงพลิกผันของชีวิต เช่น

การเลือกที่ทำงาน การแต่งงาน การเผชิญกับความตาย และความหมายของชีวิต Synchronicity ที่เกิดขึ้นจึงเป็นเหมือนการเชิญชวนให้เราต้องตัดสินใจในเหตุการณ์ที่สามารถทำให้เราเติบโตทางจิตใจและจิตวิญญาณได้ แต่ก็จะเป็นการฝืนธรรมชาติหรือนิสัยดั้งเดิมของเราเป็นอย่างมาก เหมือนอย่างเคสของคาร์ล จุง ที่จะต้องพักจากการใช้ความคิดในการทำความเข้าใจชีวิต มาใช้ความรู้สึกแทน

🔬ข้อสังเกตจากงานวิจัยทางจิตวิทยา🔬

งานวิจัยชื่อ Jungian Psychotherapy, Spirituality, and Synchronicity: Theory, Applications, and Evidence Base เขียนโดย Christian Roesler และ Gunnar I. Reefschläger เผยแพร่เมื่อ ธันวาคม ปี พ.ศ.2564

เป็นงานวิจัยนี้ศึกษาเรื่องผลของการนำ Synchronicity มาใช้ในกระบวนการจิตบำบัด และได้ข้อสรุปที่น่าสนใจว่า

1️⃣เราไม่สามารถพิสูจน์ความจริงของ Synchronicity ได้

2️⃣ แต่การนำ Synchronicity มาใช้ในกระบวนการจิตบำบัดนั้นมีผลในเชิงบวก

3️⃣ ในทางตรงกันข้ามเมื่อ Synchronicity เกิดขึ้นแล้วนักจิตบำบัดไม่นำมาใช้ จะทำให้เกิดผลในเชิงลบ

4️⃣ ทั้งนี้นักจิตบำบัดต้องมีความเข้าใจในกระบวนการบำบัดตามแนวทางของสายจิตวิทยาวิเคราะห์ หรือ Analytical Psychology (ชื่อเรียกทฤษฎีของคาร์ล จุง) ด้วย

♾️สรุป♾️

ถึงแม้เราจะยังไม่สามารถพิสูจน์ความจริงของปรากฎการณ์ Synchronicity ว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แต่ Synchronicity ก็เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นจริงตามนิยามของตัวมันเอง ที่ว่า ‘เหตุบังเอิญที่มีความหมายกับตัวบุคคลนั้น’ หมายความว่า สิ่งสำคัญของ Synchronicity ไม่ได้อยู่ที่อะไรคือที่มาแท้จริงของมัน แต่มันสำคัญที่ว่า ‘เราให้ความหมายอย่างไรกับเหตุบังเอิญนี้’

สะท้อนให้เห็นว่า Synchronicity เป็นสื่อกลางในการทำความเข้าใจในปัจเจกบุคคล มากกว่าที่จะเป็นการค้นพบความจริงของโลกใบนี้ และนี้เองเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ Synchronicity สามารถนำมาใช้ในกระบวนจิตบำบัดในเชิงบวกได้ เพราะมันก่อให้เกิดปัจจัยทางการรักษาที่สำคัญ คือ

'การทำความเข้าใจตนเองของผู้รับบริการ' และการที่นักจิตบำบัดไม่เพิกเฉยต่อ Synchronicity ของผู้รับบริการ ก็ทำให้เกิด 'ความสัมพันธ์อันดี' (therapeutic relationship) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการจิตบำบัด

- รับจัม ดอร์เจ

-----

#จิตวิทยา #จิตวิญญาณ #สุขภาพจิต