Lemon8 Video-Downloader

Der einfachste Weg, Videos und Galerien von der Lemon8-App herunterzuladen

ผิดไหมคะที่เราตัดสินใจแต่งงานร่วมกัน แต่สุดท้ายรักไปไม่ถึงฝั่งฝัน

ผิดไหมคะที่เราตัดสินใจแต่งงานร่วมกัน แต่สุดท้ายรักไปไม่ถึงฝั่งฝัน

Desktop: Klicken Sie mit der rechten Maustaste und wählen Sie zum Herunterladen "Link speichern unter...".

PHOTOS
ผิดไหมคะที่เราตัดสินใจแต่งงานร่วมกัน แต่สุดท้ายรักไปไม่ถึงฝั่งฝัน JPEG Herunterladen

และทิ้งเขาไว้กลางทาง ..

เราเริ่มคุยๆ คบกันมาตั้งแต่อายุ 16 เคยเลิกกันตอนอายุ 22-23 ด้วยเหตุผลที่เขานอกใจไปนอนกับผู้หญิงอื่น เพราะแยกย้ายกันไปเรียนต่างมหาลัย และเราจับได้

ตอนนั้นเราเหมือนมีอาการติดเชื้อจนตกขาวเป็นสีเหลืองๆ แป้งๆ หลุดออกมาเยอะมาก เรากลัวมากๆ ซึ่งคิดว่าน่าจะเกิดจากการที่เขานอกใจ ซึ่งตอนแรกเขาปกปิดไว้ไม่ให้เรารับรู้ เรายิ่งรู้สึกเสียใจมากๆ ที่เอาร่างกายที่พ่อแม่รักมาเสี่ยง ไม่รู้เลยว่าจะมีโรคร้ายอะไรตามมาไหมในตอนนั้น จึงเกิดเป็นความระหองระแหง ไม่ค่อยไว้ใจกันสักเท่าไหร่ อันที่จริงเขามีเรื่องผู้หญิงเข้ามาประปรายตั้งแต่เริ่มเข้ามหาลัยแล้ว ส่วนเราก็มีคนใหม่เข้ามาในช่วงที่เราทั้ง 2 คนเรียนจบใหม่ๆ มีการใช้ชีวิตแบบใหม่ มีการเปลี่ยนแปลง เขาเริ่มไปทำงาน ส่วนเราเริ่มเรียนเสริมสวยในระหว่างที่ดูแลพ่อตอนป่วยไปด้วย

หลังจากพ่อเสีย เราได้มาทำงานอยู่ต่างประเทศ ส่วนเขาทำงานอยู่กรุงเทพ ห่างหายกันไป 1-2 ปี มารู้ทีหลังว่าเขามีคนใหม่นี่เอง แต่ก็มีไปๆ มาๆ คุยๆ กันบ้าง เขาโทรมาบ้าง เราโทรไปบ้าง บางช่วงรู้สึกว่าเขาไม่อยากจะคุย ไม่อยากรับฟังอะไรก็ตามที่เราต้องการปรึกษา หรือขอความคิดเห็น ในสถานะที่คิดว่ายังคุยกันอยู่ในสถานะที่เรียกว่าแฟน เป็นคนรักกัน อย่างเช่นเราทำงานต่างประเทศจึงขอให้เขาเป็นคนกู้ร่วมเพื่อซื้อคอนโดด้วยกัน แต่เราจะเป็นคนผ่อนเอง เขาจะพูดแต่คำว่าไม่อย่างเดียว ไม่ให้เหตุผล ไม่อยากคุยกันแบบวิดีโอคอล เหตุผลร้อยแปด สุดท้ายเรามาจับได้ตอนไปเที่ยวพัทยาด้วยกัน ผู้หญิงที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนเรา เป็นรูมเมทข้างห้องตอนปี 1 ตอนอยู่หอในมหาวิทยาลัย คนที่กินข้าวกินน้ำด้วยกัน มีอะไรก็แบ่งกันกิน พูดคุยปรึกษากันมาตลอด ผู้ชายน่าจะรู้ตอนที่เราพูดว่า “เอ๊ะ ทำไมคนนี้โทรมา ปกติไม่เคยโทร” เค้าถามว่า “อยู่กับ…(ชื่อแฟน)ใช่ไหม?” เพราะเขาบล็อกการติดต่อทุกช่องทางของผู้หญิงคนนั้นไปเลย ไม่สามารถติดต่อได้ วินาทีนั้นมือเราสั่นไปหมด ตัวชา น้ำตาไหล ไม่ต้องมีใครบอก เรารู้เลยว่ามันต้องเลวร้ายแบบนั้นแน่ๆ และก็ใช่จริงๆ ในวันที่เรากลับมาให้ใจเต็มร้อย วาดฝันกันไว้อยากสร้างบ้าน อยากแต่งงาน ที่พึ่งคุยกันเมื่อคืนที่ผ่านมามันคืออะไร

จากการที่คบกันแบบระหองระแหง เริ่มทำงานกันสักพัก เริ่มมีความมั่นคงทางจิตใจ มีวุฒิภาวะมากขึ้น ใจเย็นกันมากขึ้น คุยกันด้วยความเข้าใจมากขึ้น เขากลับมาเป็นคนที่ดีมากๆ คนนึง เมื่อเพื่อนฝูง ญาติพี่น้องก็เริ่มแต่งงานกันไปทีละคน มีลูกมีเต้ากันไปหมด เราทั้ง 2 ก็อายุ 30 แล้ว จึงตกลงปลงใจแต่งงานกัน แต่ก็ยังคงแยกกันอยู่คนละที่เรายังอยู่ต่างประเทศ เขาอยู่ กทม

หลังแต่งงานเขาพูดอยู่บ่อยๆ เรื่องอยากมีลูก แต่การมีลูกมีค่าใช้จ่ายตามมาอีกเยอะแยะ เราไม่อยากเป็นภาระเขาถ้าเราหยุดทำงาน ไหนจะค่าผ่อนรถ เผื่อลูกไม่สบายอีก แม่เราก็แก่แล้วคาดเดาไม่ได้เลยถ้าแกป่วยขึ้นมาวันไหน เราจึงอยากเก็บเงินอีกสักหน่อย พอให้เรามั่นใจได้ว่าถ้าเราไม่ทำงานเราจะพอมีให้แม่สักเดือนละ 5,000 ก็ยังดี แต่ก็ลากยาวมาไม่พร้อมสักที

วันแต่งงานน้าเราได้ยินญาติฝั่งเขาพูดว่า “ผู้หญิงสวยมากหรอ ดีแค่ไหน ทำไมสู่ขอแพง” ทั้งๆ ที่ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเรื่องงานแต่ง หรือเวลาเดินทางมาเจอกันส่วนมากก็จะเป็นเงินเรา เพราะด้วยเหตุผลที่เราเข้าใจไปโดยปริยายว่าเขาต้องใช้เงินผ่อนรถ ส่วนอื่นๆ เราเลยไม่ได้ซีเรียสอะไรก็ใช้เงินตัวเอง

จนวันที่เราต้องการใช้เงินเพื่อที่จะซื้อที่ดิน เพื่อสร้างอะไรเป็นของตัวเองบ้าง สุดท้ายก็ไม่สามารถจะหาเงินจากไหนได้ เงินที่เสียไปทุกๆ ครั้งที่เจอกันไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ 5หมื่น-1แสนขึ้น เพราะถ้ากลับไทยเราก็ต้องไปเยี่ยมแม่ด้วย เราคิดว่าเงินจำนวนนี้มันสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ถ้าเราเก็บส่วนนี้ สิ่งที่เราต้องการก็คงจะเร็วขึ้นกว่านี้

เขาช่วยไม่ได้ไม่เป็นไร แต่ที่ต้องมานั่งรับฟังคือ แม่ของเขามายืมเงินแม่ของเราเรื่อยๆ ใหม่ๆ ก็ คืน บ่อยๆ เข้าก็ไม่คืน แม่เราก็ไม่อยากให้เราไปถามไปคุยกับสามีเรื่องที่แม่เขามายืมเงิน เพราะในบ้านสามีก็ปวดหัวกับแม่เขาเรื่องนี้อยู่แล้ว แม่เขาใช้เงินเปลืองซึ่งไม่รู้ว่าเอาไปทำอะไร ให้เท่าไหร่ก็ไม่พอ ไปยืมเงินแถวบ้านลูกก็ตามใช้ จนลามมายืมแม่เรา เราพยายามคุยกับเขาหลายครั้งแบบอ้อมๆ แล้วว่าควรถามคุยกะแม่ให้เข้าใจเรื่องเงิน แต่เขาก็พูดแค่ให้แม่พอแล้ว ไม่ต้องสนใจ ซึ่งในความเป็นจริงมันเดือนร้อนมาถึงแม่เรา เรารู้สึกแย่เอามากๆ เลยตัดสินใจพูดว่าแม่เขามายืมเงินแม่เรา เพราะลำพังเรา เราไม่เคยคิดจะรบกวนแม่เลยไม่ว่าเรื่องอะไร เราจะไม่แตะ ไม่ให้แม่เราต้องเดือดเนื้อร้อนใจ เรารู้สึกว่าเรานำปัญหาแย่ๆ เข้ามาให้ครอบครัวเรา ซึ่งไม่นับรวมการพูดจา กิริยามารยาทส่วนตัวของแม่เขาที่ไม่โอเคเลย ขอโทษนะคะที่ต้องวิพากษ์วิจารณ์คือบางครั้งแกไม่ค่อยรู้กาลเทศะ อยากจะพูดอยากจะทําอะไรก็ทำ สงสารแม่เรามากที่ต้องมารับรู้รับฟังเรื่องพวกนี้ และรับไม่ค่อยได้กับนิสัยการใช้เงินที่ไม่มีวินัย ไม่เคยพอของแม่เขา

จนวันที่เราตัดสินใจบอกกับเขาในวัย 36 ปี ช่วงสงกรานต์ปีที่แล้ว เราตัดสินใจพูดอย่างเด็ดขาด วันที่เรามีเงินพอที่จะไปซื้อที่ดิน คำที่เขาพูดว่าต้องไปถามคนละแวกนั้นนะว่าที่ดินแถวนั้นขายเท่าไหร่ คำพูดดีๆ ของเขากลับทำให้ความคิดของเราขาดสะบั้น เรารู้สึกปรี๊ดดดในใจมาก ทำไมหรอ เงินฉัน และฉันก็ซื้อมันในวันที่ฉันมีเงินพอไม่ต้องไปขอใคร ฉันศึกษามาอย่างดีแล้ว มันเป็นราคาตลาด ใครจะบ้าเดินไปถามราคากับคนอื่น เราเงียบไปเลยตั้งแต่วันนั้น ตั้งสติ นับลมหายใจเข้าออก ยิ่งนานวันยิ่งทำให้รู้สึกแย่ น่าเบื่อ พูดไม่เข้าหูกันเลย

เราบอกเขาว่า “เธอเป็นคนดีเธอควรเจอคนดีๆ ที่พร้อมจะมีลูกให้เธออย่างที่เธอต้องการ เพราะฉันยังมีความฝันที่ฉันยังจะต้องไปต่อด้วยความไม่พอของเราเอง”

จากนั้นเราก็ไม่เคยติดต่อ พูดคุย โทรหาเขาอีกเลย เราขอเป็นคนใจร้าย เพื่อให้เขาได้เจอคนที่เหมาะสมกับเขาจริงๆ ความรักมันมีวันหมดจริงๆ หมดสิ้นเยื่อใยทุกๆ อย่าง เขาก็คงรู้ตัวในวันนั้นเหมือนกันว่าเขาก็ไม่เคยทำอะไรให้เราเลย ดอกไม้ดอกเดียวเราก็ไม่เคยได้ ไม่ต้องถามว่าอย่างอื่นจะได้หรอ เราเคยคิดว่าเขาจะเปลี่ยน แต่ก็ไม่เคยเปลี่ยนเลย ไม่ว่าจะพูดตรงๆ หรืออ้อมๆ แต่ไม่ได้โทษเขานะ เขาคงไม่ได้งกหรอก แต่เขาคงเป็นผู้ชายที่เอาใจไม่เก่ง ต่างฝ่ายต่างไม่อาจยื้อกันไว้ได้ คำพูดที่เขาพูดว่า “แต่เราแต่งงานกันแล้วนะ ทุกคนรับรู้” ไม่สามารถยึดเหนี่ยวเราไว้ได้อีก

เราก็ไม่ใช่คนดี เราผิดที่เรายอมรับในครอบครัวเขาไม่ได้ อาจเป็นเพราะเราไม่เคยได้คลุกคลีกับครอบครัวเขามาก่อน เราคบกันมานานมากแต่ต่างฝ่ายต่างไม่เคยเข้าบ้านกันเลย เราเห็นแก่ตัว ยิ่งเราได้มองโลกกว้างขึ้น เรายิ่งมีความคิดเยอะขึ้น อยากได้ อยากมี และยังมีฝัน ถ้ามีลูกความฝันมันก็จะสิ้นสุดลง เราไม่พร้อมจะสร้างความฝันให้ใคร ซึ่งเราคิดช้าไปมากๆ รู้สึกผิดมาก และอยากขอโทษเขามากเรื่องนี้ เราอยากจะทำความฝันตัวเองให้สำเร็จเท่านั้น

เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่มาก ซึ่งครอบครัวเรายังไม่เคยพบเจอการเลิกรากันมาก่อน เราถูกครอบครัวต่อว่าหนักเหมือนกัน ใช่ ที่จัดงานใหญ่โต เรียนเชิญคนเพื่อมารับรู้ แต่ตอนเลิกกันก็จะทำแบบเงียบๆ เรายอมรับเลยว่า “เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน” เป้าหมายไม่ได้เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป เรา 2 คน เดินมาถึงจุดที่ความคิดไม่เหมือนกันอีกต่อไปแล้ว ..

เราจะฝืนอยู่กันไปเพราะกลัวแค่คำพูดคนเท่านั้นหรือ?!

จากวันที่บอกลาจนถึงวันนี้ เราไม่เคยพูดถึงเขาไม่ว่าจะเรื่องร้ายหรือดี และไม่เปิดรูปงานแต่งขึ้นมาดูอีกเลย ..