The easiest way to download video and gallery from Lemon8 app
Desktop: Right-Click and select "Save link as..." to download.
PHOTOS | |||
JPEG | Download |
50 กฏที่ไม่เคยเปิดเผย ช่วยเปลี่ยนวิธีพูด
ของผู้บริหารและประธานบริษัทกว่า 1,000 คน
โดย "ครูสอนพิเศษที่บ้านในตำนาน"
.
Bestseller จากญี่ปุ่นเล่มนี้ เป็นผลวิจัย
และประสบการณ์จริง สรุปเป็นประเด็นสั้น
เข้าใจง่าย สำคัญ ลึกซึ้ง และทำได้จริง
.
นักเขียนสอนผู้บริหารมากกว่า 1,000 คน
เป็นอดีตนักหนังสือพิมพ์ที่ได้สัมภาษณ์ผู้นำ
ทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ
.
ผู้ถือดีกรีปริญญาโท สาขาความสัมพันธ์
ระหว่างประเทศ จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
เคยเป็นนักวิจัยเรื่องการสื่อสารในยุอินเทอร์เน็ต
จากสถาบันMIT และนักวิจัยเทคนิคการต่อรอง
ที่ฮาวาร์ดลอว์สคูล ณ เมืองแมสซาชูเซตส์
ฝึกการพูดในเวิร์คช็อปที่นิวยอร์ค
.
จากที่เป็นคนประมาทจนเหงื่อแตก
เมื่อต้องพูดนำเสนอ พลิกเป็นผู้สื่อสาร
ได้สบายเหมือนแค่สูดลมหายใจ
.
.
"แค่เปลี่ยนวิธีพูด ชีวิตก็เปลี่ยนด้วย"
ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม
▶️ 1
แม้จะลืม "เนื้อหาที่สนทนากัน"
แต่ "ความประทับใจ/ความรู้สึก" ยังคงอยู่
.
เมื่อได้คุยกับผู้บริหารในต่างประเทศ
มักจะตกใจกับความฉลาดของ "วิธีเริ่ม"
บทสนทนา พวกเขาเข้าหาผู้ฟังด้วยรอยยิ้ม
ที่สดใสและทักทายว่า "How are you?"
แล้วคุยเรื่องส่วนตัว เช่น เรื่องครอบครัว
อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้รู้สึกใกล้ชิดได้รวดเร็ว
และสร้างมิตรภาพได้
.
พวกเขาทราบดีว่าในการสื่อสารสิ่งที่สำคัญกว่า
"การพูดอะไร" คือ "ทำให้ผู้ฟังรู้สึกอย่างไร"
.
ไม่มีใครจำสิ่งที่คุณพูดหรือสิ่งที่คุณทำ
แต่ส่วนใหญ่พวกเขาจะจำว่า "รู้สึกอย่างไร"
การคุยเล่นเป็นการ "คว้า"โอกาสที่จะสร้าง
"ความรู้สึก/ความประทับใจ" และเป็น
"ช่วงเวลาแห่งการดึงดูดใจคน"
.
.
▶️ 2
"การพูด" คือการ "ผละ" จาก "มุมมองของตัวเอง"
"ผู้ฟัง" จะได้รับลูก "ที่รับได้ง่าย"
.
การสื่อสาร (Commuunication)
ที่มาจากภาษาละตินแปลว่า "การแบ่งปัน"
เป็นการส่งและรับข้อมูลจากทั้งสองฝ่าย
.
เมื่อเกิด "ปฏิกิริยาทางเคมี" บางอย่าง
จะสื่อถึงกันได้ และคนก็จะเคลื่อนไหว
.
คนเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่รับเฉพาะ
"ข้อมูลที่ตัวเองอยากฟังเท่านั้น"
.
ถ้าคุณอยากเปิด "ประตูใจของผู้ฟัง"
ก่อนอื่นต้องทำให้กุญแจซึ่งก็คือ
ตัวคุณเข้ากับ "รูกุญแจ" ซึ่งก็คือผู้ฟังให้ได้🔐
.
.
▶️ 3
คนทั่วไปขยับ "ปาก" แต่คนชั้นแนวหน้ขยับ"ตาและหู"
.
คนเรามาคุยเรื่องตัวเองมากกว่าฟังเรื่อง
ของคู่สนทนา บทสนทนาของคนเรา 60%
จะคุยเรื่องตัวเอง ในสื่อโซเชียล80%
ก็เป็นการคุยเรื่องของตัวเอง
.
การคุยเล่นหรือการสนทนาไม่ใช่ "การคุย"
แต่เป็นการ "ตั้งคำถาม" และการ "ฟัง"
สรุปสิ่งที่ยอดเยี่ยมมากกว่าการเปิดปาก
คือการเงี่ยหูฟัง👂
.
หูกับตามีสองข้าง แต่ปากมีเพียงหนึ่งเดียว
เราควรฟังและมองตาของคู่สนทนามากกว่า
เวลาพูดสองเท่า👄
.
.
▶️ 4
การคุยเล่นต้องพัฒนาด้วย "พลังแห่ง 'W'"
ฝึกฝนการตั้งคำถามที่ขึ้นต้นด้วย "W"
.
คำถามที่เริ่มต้นด้วย "6W1H"
(What-อะไร, Who-ใคร, When-เมื่อไหร่,
Where-ที่ไหน, Why-ทำไม, Which-แบบไหน,
How-อย่างไร) ทั้งหมดนี้เป็น "คำถามปลายเปิด"
ไม่ว่าคำไหนก็เป็นคำที่ขึ้นต้นด้วย "W"
.
หากคุณจำแค่6คำถามนี้ก็เอาตัวรอด
ในการสนทนา 5 นาที 10 นาทีได้อย่างไม่ยุ่งยาก
.
.
▶️ 5
ยิ่งใช้ "คำถาม 4 ประเภท" ซ้ำไปซ้ำมา
บทสนทนาจะไม่ขาดตอน
.
📍คำถามเปิดการสนทนา เช่น สบายดีไหม
เป็นคนที่ไหน?
📍คำถามถามกลับ ถามด้วยเรื่องเดียวกับที่ได้ฟัง
📍คำถามต่อเนื่อง ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่คู่สนทนาพูด
📍คำถามเปลี่ยนเกียร์ ที่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเลย
.
ใช้วงจรแบบ ถาม-ฟัง-ถาม-ฟัง-เล่าเรื่องตัวเอง
วนไปเท่านี้ ทุกคนก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการคุยเล่น
ได้อย่างรวดเร็ว😄
.
.
▶️ 6
หาเรื่องคุยที่ทำให้ผู้ฟังยินดีด้วย "กฏสินค้ายอดนิยม"
.
เคล็ดลับของการคุยเล่นหรือการสนทนา
อย่างสนุกสนานคือ การเรียนรู้จาก "กฏยอดนิยม"
คุณควรเลือกเรื่องสนทนาเกี่ยวกับ "สิ่งใกล้ตัว"
เกี่ยวข้องกับ "ปัญหา" หรือ "กำไรขาดทุน"
"สะดวก" และ "มีผลกระทบ"สำหรับคู่สนทนา
.
.
▶️ 7
ตะครุบ "ความสนใจ"ของผู้ฟังด้วย "กฏข่าวเช้า"
.
📍ตามกระแส สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงฮิต
📍มีชื่อเสียง คนหรือบริษัทที่มีชื่อเสียง
📍 ความยากลำบาก ความผิดพลาด ความขัดแย้ง
📍 ความรู้สึก เรื่องที่สร้างความรู้สึกตกใจ โกรธ หรือดีใจ
📍สารภาพ ความลับ เรื่องที่เล่าเป็นครั้งแรก
📍ความเปลี่ยนแปลง อะไรบางอย่างใหม่ๆสิ่งที่เพิ่มและลด
.
.
▶️ 8
สื่อสารว่า "คุณยอดเยี่ยมมาก" ไม่ใช่ "ฉันสุดยอดเลย"
.
ไม่ว่าใครก็อยากได้รับคำชื่นชมมากกว่า
ฟังคำโอ้อวดของคนอื่น พูดตรงๆก็คือ
ผู้ฟังอยากฟังว่า "คุณยอดเยี่ยมมาก"
ไม่ใช่ "ฉันสุดยอดเลย"
.
ตอนที่คุณเล่าเรื่องตัวเองจึงไม่ควรจบแค่อวด
ตัวเองแต่ให้ถ่ายทอด "คุณค่าของคู่สนทนา"
อย่างหนักแน่น
.
เคล็ดลับของการคุยเล่นเพียงฝึก "วิธีชม"ให้เก่ง
ความเป็นที่ชื่นชอบจะเพิ่มขึ้นทันที
.
.
▶️ 9
ทำให้ผู้ฟังรู้สึกดีด้วยกฏ "เห็นรู้ยกรู้"
.
กุญแจสำคัญคือการชมที่รวม 4 สิ่งเข้าด้วยกันได้แก่
📍"เห็นชอบ(ยอมรับ)" สังเกตเห็น ยอมรับตัวตน
และการกระทำของคู่สนทนา
📍"รู้สึกร่วม" การยอมรับ เห็นด้วย เห็นพร้อมกับ
ความรู้สึกหรือความเห็นของผู้ฟัง
📍"ยกย่อง(ชื่นชม)" การชมจุดเด่น
📍"รู้สึกขอบคุณ" พูดขอบคุณ ตามความรู้สึก
.
.
▶️ 10
ตอนชมให้ใช้ "ซุ-หงุ-คิ" ซึ่งเป็นพื้นฐานเบื้องต้น
.
ซุ = ชมทันที (ทันทีหลังจากที่ทำบางอย่าง
ที่เหมาะสม)
หงุ = ชมอย่างเป็นรูปประธรรม
คิ = ชมโดยใส่ความรู้สึกเข้าไปด้วย
.
ไม่ใช่แค่การชื่นชมเพียงอย่างเดียว
ยังใช้เมื่อคุณต้องการถ่ายทอดความรู้สึก
"ยอมรับ" "รู้สึกร่วม" และ "รู้สึกขอบคุณ"
.
.
▶️ 11
"ชม 6 ดุ 1"คือ สัดส่วนที่ได้รับการพิสูจน์
ทางวิทยาศาสตร์🧑🔬
.
หากขาดการสื่อสารความรู้สึกนึกถึงและคุณค่า
ก็จะไม่เพิ่มขึ้น สิ่งสำคัญคือการผสมผสาน"การชม"
และ "การดุ" ในอัตราส่วนที่ดีที่สุด
.
.
▶️ 12
"วิธีดุที่ถูกต้อง"
.
ตอนดุให้ลองใส่ ปัจจัย 4 ประการลงไป
📍ข้อเท็จจริงที่ควรดุ
📍ทำไมถึงเสียงนั้นถึงไม่ถูกต้องหรือ (เหตุผล)
📍ตัวเองคิดอย่างไรเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น
(ความรู้สึกส่วนตัว)
📍ให้ระบุแนวทางแก้ไข
.
สิ่งที่ไม่ควรทำคือ การพร่ำบ่น ที่เอาแต่ยัดเยียด
ความคิดอยู่คนเดียวหรือการ "ตัดสิน"
ที่สร้างแผลใจให้ผู้ฟัง
.
.
▶️ 13
อย่างแรกคือต้องสร้างคำพูดที่สรุปแล้วไม่เกิน 13 คำ
.
ขั้นตอนการสรุปใจความสำคัญหรือข้อสรุป
ที่อยากบอกให้เป็นคำพูดสั้นๆอันทรงพลัง
.
เป็นขั้นตอนเดียวกับการพาดหัวข่าว
ในบทความตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือนิตยสาร
เพราะความยาวประมาณนี้จะ "ทำให้ผู้ฟังเห็น"
มากกว่า "ทำให้ผู้ฟังอ่าน" และเข้าใจง่ายทันที
.
.
▶️ 14
ขัดเกลา คำพูดทางจิตวิญญาณด้วย 3 ขั้นตอน
.
📍ประเมินคุณค่าของคำพูด
เอาสิ่งที่อยากพูดออกมาจากชั้นวาง
หรือตู้เสื้อผ้าในสมองออกให้หมด
แล้วลองจัดวางเรียงกันดู
📍คัดเลือกคำพูดสร้างความประทับใจ
คือแยกคำพูดที่ประเมินเราว่าดีและหยิบเอา
เฉพาะคำพูดที่โดนใจเป็นพิเศษ
📍สรุปให้ไม่เกิน 13 คำ ต้องเป็นคำที่ดึงดูด
ความสนใจและเป็นคำพูดที่ทำให้หัวใจเต้นแรง
.
.
▶️ 15
พื้นฐานสุดๆที่ชาวเด็กอเมริกันต้องได้เรียน
"กฎการพูดแบบแฮมเบอร์เกอร์"
ที่ระบุว่า ข้อสรุป-เนื้อหา-ข้อสรุป"
.
ต้องเริ่มจากกำลังพูดเรื่องอะไร
แล้วพูดเรื่องนั้นไป
สุดท้ายก็ให้สรุปว่าพูดเรื่องอะไรไป
.
.
▶️ 16
"แผนกกลยุทธ์"
เหตุผลก็คือที่เรียบง่ายและชัดเจนด้วย "
ข้อสรุป-เหตุผล-ตัวอย่าง-ข้อสรุป"
.
หากคุณเชื่อมโยงสิ่งที่พูดด้วยคำว่า
"เหตุผลก็คือ..." ไม่ว่าเรื่องแบบไหนก็ตาม
ก็จะช่วยเพิ่มพลังโน้มน้าวได้เกินคาด
.
.
▶️ 17
อธิบายขั้นสุดท้ายอย่างเรียบง่ายและชัดเจน
"แผนกลยุทธ์มี 3 ข้อ"
.
เป็นวิธีกล่าวข้อสรุปและอธิบายว่า เหตุผล
หรือประเด็นสำคัญมี 3 ข้อ เช่น จุดสำคัญ
เหตุผล ปัญหา
.
.
▶️ 18
แผนกลยุทธ์แก้ปัญหาทั้งที่ประธานาธิบดี
และรายการสินค้าทางโทรทัศน์ใช้กันมาก
.
การนำเสนอให้น่าสนใจโดยพื้นฐานใช้โครงสร้างที่
เรียกว่า "Problem-Solution Fit (ปัญหา-วิธีแก้ไข)"
เป็นเทคนิคการเปิดประเด็นที่หยิบยกปัญหา
ที่เป็นเรื่องกลุ้มใจหรือเป็นประเด็นขึ้นมา
แล้วชี้ให้เห็นวิธีแก้ไข
.
.
▶️ 19
ผู้นำที่ใช้ "รูปแบบอาจารย์" นั้นเก่าแล้ว
ให้ฝึกวิธีพูด "รูปแบบมีความรู้สึกร่วม"
.
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคโซเชียลมีเดียที่ยึดถือ
การมีอารมณ์ร่วมและการกระจายข้อมูล
ในแนวระนาบ
.
จำเป็นต้องเข้าใจความรู้สึกของคน และมีทักษะ
อยู่เคียงข้าง เปลี่ยนจากรูปแบบอาจารย์
ซึ่งชี้นิ้วสั่งและควบคุมจากเบื้องบนทางเดียว
มาเป็นรูปแบบมีความรู้สึกร่วม
ที่ยืนอยู่ในระดับสายตาเดียวกับพนักงาน
และดึงพลังนั้นออกมา
.
.
▶️ 20
สิ่งจำเป็นในการเป็นผู้นำที่เรียนรู้จักทรัมป์
คือ "วิธีพูดที่ทำให้รู้สึกดี"
.
ตัวของทรัมป์นั้นไม่ใช่คนที่มีนโยบายแน่วแน่
เพียงแต่ไวต่อการรับรู้ถึง
"ความคิดและสิ่งที่ผู้สนับสนุนอยากฟัง"
และเปลี่ยนถ้อยคำได้อย่างเชี่ยวชาญ
.
.
▶️ 21
กฎการพูดแบบคำทำนายและ"นั่น-ไม่-ลำบาก-เข้าใจ"
ช่วยสะกิดต่อมความรู้สึกของผู้ฟังได้
.
ผู้ฟังจะรู้สึกว่ามีคนคอยอยู่เคียงข้าง
มีคนคอยเข้าใจฉัน
.
วิธีพูดเช่นนี้จะช่วยเปลี่ยนจาก "ไม่ใช่อย่างนั้น"
เป็น"นั่นแหละๆ"และเปลี่ยนจาก "ไม่ใช่หรอก"
เป็น "ใช่เลยๆ"ได้อย่างรวดเร็ว
.
.
▶️ 22
ทำสัญญาณเตือนใจให้ดัง เพื่อให้ได้อารมณ์ร่วม
.
เป็นการกระตุ้นความรู้สึกของผู้ฟัง
สร้างอารมณ์ร่วมขึ้นมาระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง
.
.
▶️ 23
แพร่กระจายอารมณ์ด้วย "กฎของ AHA"
.
วิธีตรวจสอบง่ายๆว่าการเล่าของคุณกระตุ้นจิตใจ
ผู้ฟังได้แค่ไหน ผู้ฟังเกิดอารมณ์ร่วมหรือไม่
คือ กฎ AHA (อ๊ะหา)
.
ให้ลองจินตนาการว่าผู้ฟังอุทานออกมา
เป็น "วรรคอะ" หรือ "วรรคฮะ" ได้แค่ไหน
เช่น อ๊ะ ว้าว เหวอ! เอ๊ะ โอ้! เป็นต้น
.
.
▶️ 24
สะกดใจผู้ฟังด้วยเวทมนต์ของ "เรื่องเล่า"
.
ในการเล่าเรื่องราวส่งผลให้เกิดการแฮ็กกิ้งสมอง
ของผู้ฟัง เพราะฉะนั้นคนระดับหัวกะทิในโลก
จึงใส่ความคลั่งไคล้ในการสร้างเรื่องราว
.
เพราะคนเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอารมณ์ร่วม
กับ "เรื่องเล่า"มากกว่า "ตรรกะ"ที่น่าเบื่อ
.
.
▶️ 25
ลองสร้าง "เรื่องราว 30 วินาที" ที่ใส่
"before" "after" และ "ข้อคิด"
.
ลองค้นหาคอนเทนต์ที่ทรงพลังที่เป็น
"เรื่องราวที่เปลี่ยนตัวเองหรือเปลี่ยนชีวิต"
.
.
▶️ 26
ให้คู่สนทนา "เห็นภาพ" ด้วย
"คำพูดที่กระตุ้นประสาทสัมผัสทั้งห้า"
.
การใส่รายละเอียดอย่างความหายาก
เนื้อสัมผัส กลิ่น หรือรูปลักษณ์ช่วยกระตุ้น
ประสาทสัมผัสทั้งห้า
.
ถ้าอยากกระตุ้นใจของคู่สนทนาให้ใส่ใจ
กับคำพูดที่ "ทำให้เห็น "และ "ทำให้รู้สึก"
.
.
▶️ 27
ผู้นำเก่งๆเป็น "พ่อมดแห่งตัวเลข"
สร้างแรงดึงดูดจาก "ตัวเลขที่ไม่ใช่เลขกลมๆ"
.
ถ้าคุณใช้ตัวเลขได้เก่ง ก็จะได้คำพูดที่
"ทำให้เห็น" "ทำให้รู้สึก"ได้
.
ไม่ใช่แค่ให้ "ตัวเลขคร่าวๆ" แต่จงสร้างอิทธิพล
และความรู้สึกด้านขนาดด้วย
"ตัวเลขที่ถูกต้องและไม่เป็นตัวเลขกลมๆ"
.
.
▶️ 28
ตัวเลขช่วยให้เห็น "เชิงสัมพัทธ์" และบอกความหมาย
.
ใช้ตัวเลขที่กระตุ้นจิตใจได้ด้วยสเกลที่ผิดธรรมดา
ความหายาก หรือความเปลี่ยนแปลง
อย่างมากของตัวเลขนั้น
.
แทนการใช้ตัวเลขเฉยๆ ให้ระบุ "เชิงสัมพัทธ์"
และทำให้เห็น "ความหมาย" ของตัวเลขเพิ่มมากขึ้น
.
.
▶️ 29
พูดถึงสิ่งที่แคบลงอีกขั้นหนึ่งด้วยกฏ
"หน้าของคนหนึ่งคนดีกว่าล้านคน"
.
การมองเห็นหรือไม่เห็นหน้าช่วยสร้าง
ความแตกต่างอย่างมากในการดึงพลังจินตนาการ
หรืออารมณ์ร่วมของคนได้
.
ให้คุณลองจำกัดขอบเขตของสิ่งที่พูดถึง
เนื้อหาให้แคบลงอีกขั้นหนึ่ง ก็ยิ่งจินตนาการภาพ
ได้ง่ายและเพิ่มพลังโน้มน้าวได้มากขึ้นเท่านั้น
.
.
▶️ 30
เปรียบเปรยด้วย "คำพูดที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน"
โดยเปรียบเทียบกับคำคนละประเภท
.
เป็นที่รู้กันว่าการเปรียบเทียบ เพียงอย่างเดียว
ที่มีอิทธิพลต่อความคิดคนอย่างมาก
.
ช่วยสร้างความรู้สึกทางกายประดุจคนฟังสัมผัส
กับสิ่งนั้นจริงๆพูดง่ายๆคือ การอุปมา
เป็นอาวุธพิสัยไกลที่ได้ผลที่สุดในการโน้มน้าว
ใจผู้ฟัง ซึ่งกระตุ้นสมองได้ในชั่วพริบตา
.
.
▶️ 31
เปิดสวิตช์ "อันนี้ต้องฟัง"👂ฝึกฝนถ้อยคำแห่งมนตรา"
.
เปลี่ยนคำพูดเพียงนิดเดียวก็ช่วยเพิ่มพลัง
การโน้มน้าวได้ทันที
.
สิ่งสำคัญคือหลังจากพูด "ถ้อยคำแห่งมนตรา"
คือ การเว้นจังหวะเล็กน้อย การเว้นจังหวะนี้สร้าง
"ความกระวนกระวายใจ" ทำให้ตื่นเต้น
และเรียกความสนใจต่อเนื้อหาที่พูดหลังจากนี้
.
.
▶️ 32
ฝึก "แก่นแท้ที่ไม่ตื่นเต้น" ในการนำเสนอ
.
ไม่มีอะไรดูแย่เท่ากับการพยายามวางมาดพูดอีกแล้ว
"ทำตัวบ้าบอซะ" "เลิกวางมาด" นี่แหละเป็นก้าวแรก
ของการพัฒนาการนำเสนอ
.
.
▶️ 33
กระเทาะ "เปลือก" ตัวเองออกด้วย "กฎของยู้ฮู"
.
การฝึกนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มพลังงาน
และอารมณ์ ในการพูดจริงให้ส่งเสียงว่า
"ยู้ฮู ยู้ฮ ยู้ฮู" ในใจแทน
.
.
▶️ 34
สร้างความเชื่อมโยงทางใจกับผู้ฟังด้วย
"การจับมือเสมือนจริง"
.
ในการนำเสนอ 30 วินาทีแรก เป็นกุญแจที่สร้าง
"ความเชื่อมโยงทางใจ"กับผู้ฟัง
.
การโต้ตอบว่า "สวัสดีครับ/ค่ะ"
เหมือนเป็นการจับมือเสมือนจริงกับผู้ฟัง
ความรู้สึกจะสื่อออกไปถึงใจผู้ฟังและสมอง
ก็จะคลายความตื่นเต้น
.
.
▶️ 35
"กฏแห่งใช่ไหมนะ" ที่จะเปลี่ยนให้
"นำเสนอได้อย่างมีอารมณ์ร่วม"
.
การสอบถามหรือตั้งคำถามเป็นการดึงผู้ฟัง
เข้ามาร่วมด้วย จึงช่วยเพิ่มความเป็นอันหนึ่ง
อันเดียวกัน และความมีชีวิตชีวามากกว่า
ตั้งท่านำเสนออยู่ฝ่ายเดียว
.
.
▶️ 36
แค่เปลี่ยน "." เป็น "?" ก็ได้ผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่
.
แค่หนึ่งตัวอักษรก็จะเปลี่ยนจาก
"การคุยกับตัวเองทางเดียว"
เป็น "การพูดโต้ตอบกับผู้ฟัง" จนทำให้ผู้ฟัง
รู้สึกดีกับคุณได้
.
.
▶️ 37
ห้ามเริ่มจาก "แนะนำตัว" และ "กล่าวขอบคุณ"
.
เวลาสำคัญตอนขึ้นต้นการนำเสนอนั้น
อย่าเริ่มต้นด้วยขอบคุณหรือการแนะนำตัว
เพราะว่าตอนเปิดการนำเสนอสิ่งสำคัญที่สุด
คือ "แรงดึงดูด" การนำเสนอตัดสินกันด้วย
"ความประทับใจ 30 วินาทีแรกตอนเริ่ม"
.
.
▶️ 38
ตอนเริ่มนำเสนอให้กุมหัวใจผู้ฟังด้วย 5 รูปแบบ
.
📍 อารมณ์ขัน มีมุกเด็ดสักมุก
📍 ความประหลาดใจ ความเกินคาด
ประทับอยู่ในความทรงจำอย่างเด่นชัด
📍เรื่องราว แค่เรื่องราวเบาๆก็ทำให้ใกล้ชิด
กับผู้ฟังมากขึ้น
📍คำถาม วิธีที่พบบ่อยที่สุดในการเปิดเรื่อง
📍การสารภาพ "จริงๆแล้วฉัน..." เพียงเท่านี้
ก็จับกุมใจผู้ฟังได้อย่างน่าสนใจ
.
.
▶️ 39
เพิ่มพลังยิ่งขึ้นด้วย "การกุมหัวใจอีก 5 รูปแบบ"
.
📍 กิจกรรมที่ทำให้ผู้ฟังมีส่วนร่วม
📍 ให้ดูคลิปวีดีโอ
📍 เริ่มต้นด้วยบทพูด ข้อความดังหรือคติพจน์
📍ประกาศด้วยความบ้าบิ่น
📍พูดว่า "ลองจินตนาการดูสิครับ"
แล้วบรรยายบรรยากาศ
.
การกลุ้มใจผู้ฟังไม่ใช่เฉพาะตอนต้นเท่านั้น
เพื่อเหนี่ยวรั้งหัวใจคนสมัยนี้ที่เบื่อง่าย
จำเป็นต้องใช้คำที่ ทำให้สนุก ทำให้ประหลาดใจ
ทำให้คลั่งไคล้ ตลอดการนำเสนอด้วย
.
.
▶️ 40
ความประทับใจแรกของคนเราตัดสินด้วยน้ำเสียง
ถึง 40% น้ำเสียงจะต้องมี "จังหวัดจะโคน"
มากกว่า "ความดัง"
.
ความประทับใจแรกของคนเราแบ่งคร่าวๆออกเป็น
ภาพลักษณ์ 50% น้ำเสียง 40% และคำพูด 10%
ซึ่งเป็นกฎของเมห์ราเบียน
.
สิ่งสำคัญของเสียงไม่ใช่ความดัง
ดังนั้นการใช้น้ำเสียงเรียบๆก็เหมือนกับ
การปราศรัยริมถนนของนักการเมือง
.
.
▶️ 41
น้ำเสียงที่ดี ออกเสียงได้ง่ายๆด้วยการเคลื่อนไหว
พื้นฐาน 3 ประการ
.
เสียงคือการหายใจ
📍สูดลมหายใจเข้าทางจมูกเต็มที่
แล้วกักอากาศไว้ใน "ช่องว่างในท้อง"
📍พ่นลมหายใจออกทางปาก แล้วแขม่ว
ช่องท้องราวกับบีบหลอดยาสีฟัน
📍ขณะพ่นลมหายใจก็ให้เปิดปากกว้างๆ
และเป็นเสียงออกมา
.
.
▶️ 42
เคล็ดลับของ "วิธีพูด" ทางออนไลน์ 6 ประการ
ที่เรียนรู้จากยูทูปเบอร์
.
📍การแสดงสีหน้าหลากหลาย
📍การเคลื่อนไหวเยอะเกินจริง
📍ให้เห็นของจริงเพื่อดึงดูดความสนใจ
📍ใช้เสียงเอฟเฟกต์อย่างหนัก
📍ใส่ตัวอักษรบรรยายภาพ
📍ใช้ภาษาพูดแบบพูดคุย
.
.
▶️ 43
กระตุ้นต่อมความรู้สึกของผู้ฟัง "จากตา" "จากหู"
.
การสื่อสารเป็นโลกที่ขับเคลื่อนอารมณ์อย่างยิ่งยวด
ที่อินสตาแกรมหรือสติ๊กเกอร์ ไลน์ได้รับความนิยม
ก็เพราะถ่ายทอดความรู้สึกทางภาพได้
.
ชาวเน็ตที่คุ้นเคยกับเครื่องมือดิจิทัลดังกล่าว
คงไม่ประทับใจการอธิบายอย่าง
ไม่มีจังหวะจะโคน หรือการนำเสนอ
ที่มีแต่ตัวอักษรอัดแน่น
.
ขอให้ระลึกว่าในการนำเสนอต้องกระตุ้น
ต่อมความรู้สึก "จากตา จากหู"
.
.
▶️ 44
ถ้าเปลี่ยนได้เพียงข้อเดียวต้องเป็น "การสบตา"
.
การสบตากันช่วยส่งผ่านความรู้สึก
ทำให้เกิดอารมณ์ร่วมได้ง่าย แค่คุณสบตากัน
อย่างเป็นธรรมชาติเหมือนคุยกันอยู่ก็พอ
.
.
▶️ 45
ใช้เวลามากกว่า 70% ของการนำเสนอ
ในการมองผู้ฟังแล้วพูด
.
คนที่รู้สึกตื่นเต้นตอนสบตาคน ให้มองหว่างคิ้ว
ของผู้ฟังก็ได้ เทคนิคที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์
ร่วมกันกับผู้ฟังในชั่วพริบตาได้นั่นก็คือ "การสบตา"
.
.
▶️ 46
ความมั่นใจเริ่มต้นจาก "การแสร้งมีความมั่นใจ"
.
แค่ทำตัวให้มีพลังเต็มเปี่ยม ก็จะมีพลังเต็มเปี่ยมจริงๆ
หากคุณแสร้งทำตัวมั่นใจ ความมั่นใจก็จะตามมาเอง
.
.
▶️ 47
ที่จริงต้องระวัง "ท่ามาตรฐานนั้น" ของคนญี่ปุ่น
.
การยืดอกพูดให้ผึ่งผายที่จริงแล้ว
มีเหตุผลสำคัญมาก ช่วยปกปิดจุดสำคัญ
= ไม่มั่นใจในตัวเองและแอบซ่อนความกังวลไว้
.
ต้องยืดไหล่ผึ่งผาย
ทิ้งแขนสองข้างลงจากไหล่ที่แผ่กว้าง
หรือประสานสองมือไว้เหนือสะดือ
นี่เป็นท่าพื้นฐาน
.
.
▶️ 48
ภาวะผู้นำอยู่ใน "การใช้คำ" แบบไม่อ้อมค้อม
ลองลด "การพูด 2 อย่าง
.
นั่นคือ "คิดว่า..." "กำลังคุ้นคิดว่า..."
ผู้นำที่แท้จริงไม่ใช้คำพูดสิ้นเปลือง
ภาวะผู้นำอยู่ในคำลงท้ายแบบไม่อ้อมค้อม
.
.
▶️ 49
ยิ่งมีเสน่ห์เท่าไหร่ ต้องยิ่งใช้ "ความเงียบชั่วคราว"
.
เรียกว่า Pause (การหยุดชั่วคราว) ในตอนที่จะ
"ต่อจากนี้ฉันจะพูดเรื่องสำคัญละนะ"
ก็ให้เว้นไว้หนึ่งจังหวะซึ่งเรียกว่า Pregnant Pause
(เว้นจังหวะแบบตั้งครรภ์) เป็นการส่งสัญญาณว่า
"ต่อจากนี้สิ่งสำคัญกำลังจะเกิดนะ"
.
.
▶️ 50
ใส่ "อารมณ์" และ "พลัง" ลงในคำพูดจูงใจผู้คนด้วย
" พลังที่มองไม่เห็น
.
ยิ่งเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมเท่าไหร่
ก็ยิ่งควบคุมอารมณ์และความเร่าร้อน
และขยับเขยื้อนผู้คนด้วยพลังงาน
.
ภาษากายไม่ใช่การเคลื่อนไหวตามความตั้งใจ
แต่เป็นพลังงานที่สื่อออกมาจากภายใน
.
.
ถ้าทำตาม 50 กฏนี้ได้ ไม่ว่าใครก็ตาม
จะกลายเป็นแฟนคลับตัวยงของคุณทันที😁
.
.
.