Lemon8 Video Downloader

The easiest way to download video and gallery from Lemon8 app

เล่มที่ ๑๘๔ ฉบับที่ ๑๘๔ เดือนม | แกลเลอรีที่โพสต์โดย ขุนทอง โกเจริญ | Lemon8

เล่มที่ ๑๘๔ ฉบับที่ ๑๘๔ เดือนม | แกลเลอรีที่โพสต์โดย ขุนทอง โกเจริญ | Lemon8

Desktop: Right-Click and select "Save link as..." to download.

PHOTOS
เล่มที่ ๑๘๔ ฉบับที่ ๑๘๔ เดือนม | แกลเลอรีที่โพสต์โดย ขุนทอง โกเจริญ | Lemon8 JPEG Download

เล่มที่ ๑๘๔ ฉบับที่ ๑๘๔ เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๒-หน้า-02

เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนสิงหาคม ๒๕๕๔

“การดูอดีตชาติก็ดี ดูอนาคตก็ดี ดูปัจจุบันก็ดี หรือจะรู้ใจคนอื่น ตลอดจนรู้กรรมของบุคคลและสัตว์อะไรก็ตาม สำคัญตรงที่ต้องสร้างทิพจักชุญาณให้เกิดก่อน ทิพจักขุญาณที่เรียกง่าย ๆ ว่า ตาทิพย์ แต่ไม่ใช่ตาเห็น เป็นใจเห็น

ถ้าไม่มีพื้นฐานมาก่อน ต้องเริ่มที่กสิณ ๓ กอง กองใดกองหนึ่งก็คือ

อาโลกกสิณ กสิณแสงสว่าง

โอทาตกสิณ กสิณสีขาว

และเตโชกสิณ กสิณไฟ

แต่เท่าที่เคยทำมาจากประสบการณ์ กสิณน้ำก็สามารถทำเป็นทิพจักขุญาณได้ ตัวอย่างที่ชัดที่สุดก็คือ นอสตราดามุส ถึงเวลาจะดูอนาคต เขาก็ไปดูในอ่างน้ำ

อาตมาก็สงสัยว่าเป็นอย่างไร ถามหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้ว ท่านบอกว่า ถ้าเพ่งเฉพาะน้ำอย่างเดียวจะได้อาโปกสิณ แต่ถ้าตั้งใจเพ่งให้ถึงก้นภาชนะ จะเป็นทิพจักขุญาณด้วย เพราะฉะนั้น...ใครทำอาโปกสิณ จะได้ทิพจักขุญาณด้วย ถ้าทำเป็นนะ...

แต่ถ้าหากว่ามีของเก่า ในอดีตเคยทำไว้ ถึงเวลาไปฝึกมโนมยิทธิจะเป็นการฟื้นของเก่า ทิพจักขุญาณจะคืนมา เมื่อคืนมาแล้ว ถ้าเราใช้ในการระลึกชาติ เขาเรียกว่า ปุพเพนิวาสนานุสติญาณ

ใช้ในการรู้อดีต เรียกว่า อดีตังสญาณ

รู้อนาคต เรียกว่า อนาคตตังสญาณ

รู้ปัจจุบัน เรียกว่า รู้ปัจจุปันนังสญาณ

รู้ใจคนอื่น เรียกว่า เจโตปริยญาณ

รู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน เรียกว่า จุตูปปาตญาณ

รู้ว่าแต่ละคนทำกรรมอะไร และจะได้รับผลของกรรมนั้นอย่างไร เรียกว่า ยถากัมมุตาญาณ

ทั้งหมดเกิดจากทิพจักขุญาณอย่างเดียว แค่เปลี่ยนวิธีใช้เท่านั้น

เพราะฉะนั้น...ถ้าหากว่าต้องการ ก็ลองใช้ ๒ อย่าง

อย่างแรกลองฝึกมโนมยิทธิ ที่วัดท่าซุงมีสอนทุกวัน บ้านสายลมทุกเสาร์-อาทิตย์ต้นเดือนก็มีสอน

ถ้าฝึกเองก็ใช้กสิณ เพ่งสีขาว เพ่งแสงสว่าง หรือลูกแก้วก็ได้ หรือไม่ก็เพ่งไฟ พออารมณ์ใจทรงตัว ภาพกสิณจะติดตาติดใจ หลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น เราก็เอาสติช่วยประคับประคองไว้ จนภาพกสิณนั้นเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นสว่างเจิดจ้าเมื่อไร ก็ลองอธิษฐานขอให้ใหญ่ ให้เล็กดู

ถ้าใหญ่ได้เล็กได้ มาได้ไปได้ ก็อธิษฐานขอให้เห็นนั่นเห็นนี่ได้ ใช้ความพยายามหน่อย ไม่กี่ชาติก็ได้แล้ว...!

การฝึกปฏิบัติเป็นการสั่งสมบารมี ไม่สำเร็จรูปเหมือนเข้าร้านสะดวกซื้อไปซื้อเอา เพราะฉะนั้น...ต้องใจเย็น ๆ ค่อย ๆ ทำไป ต้องการอะไรตั้งใจเอาไว้ แต่ตอนที่ตั้งหน้าตั้งตาทำให้ลืมความต้องการนั้นเสีย เรามีหน้าที่ปฏิบัติอย่างเดียวถึงเวลาผลจะเกิดเอง

เหมือนกับการปลูกต้นไม้ เราก็รดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ยของเราไปดูแลกำจัดวัชพืช กำจัดหนอนแปลงไป ถึงเวลาต้นไม้ก็ออกดอกออกผลเองไม่ใช่เราไปเร่ง ดึงยอดให้โตเร็ว ๆ หน่อย แบบนั้นเดี๋ยวก็ตายคามือ...!”

*************************

“จากรูปแบบที่อาตมาเคยยึดถือมา การสร้างพระจะต้องมีหลังคา แต่พอรับคำสั่งให้ส้างพระแบบไม่มีหลังคา ก็เลยงง ๆ อยู่บ้าง เพราะไม่คุ้นจริง ๆ ท่านสั่งให้สร้างหน้าวัด ให้ชาวบ้านเห็นแล้วเกิดอนุสติ อยากเข้าวัดมาไหว้พระ ถ้าสร้างในตัวอาคารจะไม่เด่นพอ

อาตมาจะสร้างสัก ๒๑ ศอก ต่อไปจะกลายเป็นจุดรวมศรัทธาคนหลวงพ่อ ภปร. ทองผาภูมิ หน้าตัก ๑๘ ศอ องค์ที่สร้างใหญ่กว่านั้น ๓ ศอกหรือเมตรครึ่ง ตัวอาคาร ๓๐x๓๐ เมตร ทำเป็นห้องประชุมได้เลย

ฐานจะมี ๒ ระดับ ระดับแรก ๓๐ เมตร ระดับที่สอง ๒๐ เมตร ข้างล่างจะกลายเป็นห้องประชุมใหญ่ เท่ากับได้พื้นที่ ๙๐๐ ตารางเมตร

ใครมีเงินเหลือสัก ๓ ล้าน จะเป็นเจ้าภาพสร้างพระใหญ่ก็ได้นะ ๓ ล้านคงได้แค่โครงสร้าง หรืออาจจะได้ประมาณฐานเท่านั้น”

*************************

“ศาลาของหลวงพี่วิรัช คนไปงานเป็นหมื่นก็บรรจุได้สบาย เพราะว่าพี่เขาสร้างคร่อมอาคารพระชำระหนี้สงฆ์ทั้ง ๔ ด้าน และพระประธานใหญ่

หลวงพี่วิรัชทำบวงสรวงตอนสิบโมงเกือบครึ่ง อาตมาบอกว่า “พี่ทำบวงสรวงสายขนาดนี้ เทวดาที่ไหนจะเหลือเล่า ? ไม่มีใครอำนวยความสะดวกให้ ฝนถึงได้ตกกระหน่ำจนเปียกอย่างนี้”

หลวงพี่วิรัชบอกว่า อยากจะให้ทำงานต่อเนื่อง พอบวงสรวงเสร็จก็หล่อพระต่อเลย จึงกำหนดบวงสรวงเวลาสาย

อาตมาก็บอกว่า “ถ้าเกินเก้าโมงครึ่ง ก็ไม่ต้องรอแล้ว เทวดาท่านไปเทวสภากันหมด”

*************************

“หลวงพี่ประทีป บวชจากวัดสุขุมาราม ต่อมาหลวงพ่อพระครูสุรินทร์ส่งมาอยู่รับใช้หลวงพ่อวัดท่าซุง

หลวงพี่ประทีปเป็นพระนอกที่เป็นย่ิงกว่าเนื้อแท้ ท่านบวชปี ๒๕๑๘ พรรษามากกว่าอาตมา ๑๑ พรรษา เป็นพระที่ทุ่มเททำงาน โดยเฉพาะงานก่อสร้าง การซ่อมแซมต่าง ๆ

ตอนที่หลวงพ่อท่านเร่งงานห้องกรรมฐานที่ศาลา ๒๕ ไร่ ท่านก็ระดมพระเณรไปช่วยทาสี อาตมาก็คิดว่าทาสีนั้นช้า น่าจะใช้สีพ่นได้ ก็ไปปรึกษากับหลวงพี่ประทีป

หลวงพี่ก็บอกว่า “ใช่...ถ้ามีถังพ่นขนาด ๒๐ ลิตร เราสามารถเอาสีทั้งถังใส่ลงไป ปิดฝาพ่นได้เลย”

อาตมาจึงบอกว่า “พี่ไปเสนอป๋าสิ...”

พระในวัดที่บวชแล้วเรียกหลวงพ่อวัดท่าซุงว่าป๋า มีอยู่ ๓ คน ก็คือหลวงพี่ประทีป พระปลัดน้อย และอาตมา

พอหลวงพี่ประทีปนำเรื่องไปเสนอ หลวงพ่อท่านบอกว่า “ซื้อมาต้องใช้เป็นนะ”

หลวงพี่ท่านก็ “ครับ ๆ”

พอถึงเวลาซื้อมา ปรากฎว่ามีหลวงพี่ประทีปพ่นสีเป็นอยู่คนคนเดียว อาตมาก็เลยต้องไปช่วย

ปกติช่วงนั้นอาตมาจะหวงเวลามาก ตอนนั้นงานอย่างอื่นโดนกรรมการสงฆ์ตัดออกหมดทุกอย่าง ยกเว้นการอยู่เวรยาม พอออกเวรเสร็จอาตมาก็หลบเข้าที่พักไปภาวนาของเราพูดง่าย ๆ ว่านอกจากหน้าที่ประจำอาตมาจะไม่เอางานอื่นเลย

พอมาทำงานพ่นสีนี้ จับกาพ่นขึ้นมา หลวงพี่ประทีปหันมาเห็นหน้าก็ถีบพลั่ก...! “เป็นงานนี่หว่า ?”

คนทำมาหากินกับสีมา ๘ ปี อย่างไรก็ต้องเป็น การทำสีรถยนต์ยากที่สุด ดังนั้น การพ่นสีจึงเป็นงานงายสำหรับอาตมา หลวงพี่ท่านเห็นท่าจับกาพ่นก็รู้แล้วว่าเป็นงานมาก่อน

“ครับ…ผมเคยทำสีรถมา ๘ ปี”

“แล้วทำไมไม่มาช่วยกูบ้าง...?”

โธ่...ก็พี่เคยเรียกผมให้ช่วยหรือเปล่า ? ถ้าผมเข้าไปขอช่วยแล้วพี่ว่าผมเสือก แล้วผมจะทำอย่างไร ?”

*************************

“ในช่วง ๑๐๐ วันของหลวงพ่อวัดท่าซุงเราจะทำการเปลี่ยนจีวรหลวงพ่ออยู่เรื่อย ๆ พอเปลี่ยนจีวร หลวงพี่ประทีปก็จะเก็บจีวรทั้งหมดท่านจึงมีจีวรหลวงพ่อมากที่สุด

ปรากฎว่า พอปี ๒๕๓๗ เกิดน้ำท่วมใหญ่ หลวงพี่ประทีปบ่นว่า “ไอ้ห่...คนมาช่วยกู กูจะขอบใจมันดี หรือจะด่ามันดีวะ...?”

อาตมาก็ถามว่าทำไม ?

พี่เขาบอกว่า “มันเห็นจีวรป๋าเปื้อนโคลน มันเอาไปทิ้งหมดเลย”

คนไม่รู้ว่าเป็นจีวรเก่าของหลวงพ่อวัดท่าซุง นึกว่าเป็นจีวรเก่าของหลวงพี่ประทีป ก็เลยเอาไปทิ้งหมด...!

อาตมาอยากได้ของอย่างหนึ่งของหลวงพี่ประทีป นอกนั้นไม่อยากได้เลย คือ มีดหมอหลวงพ่อเดิม ขนาด ๙ นิ้ว ด้ามงาช้างยาวเป็นศอกเลย พี่เขาดูแลอย่างดี เช็ดถูเป็นประจำ มีสนิมขุมกินเนื้อนิดหน่อย ส่วนอื่นก็ยังขาวอยู่เลย

แต่ถ้าพระมรณภาพลง เจ้าอาวาสจะต้องตั้งคณะกรมการขึ้นมาอย่างน้อย ๓ รูป ช่วยกันจัดการแบ่งสนปันส่วนทรัพย์สิน ว่าอะไรเหมาะจะให้ใคร ในปัจจุบันนี้หลายต่อหลายวัดด้วยกันมอบสิทธ์ขาดให้เจ้าอาวาสจัดการ แล้วแต่ท่านจะเห็นสมควร”

*************************

“โยมที่โทรมาเมื่อครู่นี้ รู้จักกันตั้งแต่สมัยอยู่วัดท่าซุง รู้จักกันเพราะเขาเล่นวิทยุสมัครเล่น ช่วงที่อาตมาอยู่วัดท่าซุงต้องเข้าเวรตอนกลางคืน บางทีนั่งทั้งคืนแล้วเบื่อก็เข้าช่องวีอาร์ ฟังเขาพูดวิทยุกันบางทีก็แหย่เขาไปบ้าง ไม่รู้ว่าถูกใจเขาหรืออย่างไร เขาขอ ว.๑๕ คือขอเจอหน้าหน่อย

อาตมาก็เลยถามว่า บ้านอยู่ไหน ?

เขาบอกว่าอยู่มโนรมย์ จึงบอกให้เขาข้ามฝั่งมา วิ่งมา ๔ กิโลเมตรจะเจอรั้วเหลืองใหญ่ ๆ บ้านหลังมหึมา พอเขามาถึงก็เจอว่าเป็นพระ เขางงมาก

บ้านนี้เขามี ๒ ครอบครัว สะใภ้ใหญ่กับสะใภ้เล็ก พี่แต่งกับพี่ น้องแต่งกับน้อง ลูก ๆ เขาเพ่ิงจะเรียนจบมัธยม แต่แม่เขาใจยิ่งกว่าฝรั่งอีก ลูกสองบ้านนี้เป็นผู้หญิงหมดเลยนะ คนเล็กสุดเรียนอยู่ม. ๒ แม่เขาบอกว่า

“จะเที่ยวไหนก็เที่ยวเถอะ อย่าให้ท้องก็พอ...!”

เด็กก็เลยเที่ยวหัวหกก้นขวิด กลับบ้านดึกดื่นทุกคืน พอถึงเวลาจะกลับบ้าน เขาก็จะวิทยุคุยกัน

“อยู่ที่ไหน ? จะกลับแล้วนะ...”

อาตมาก็แหย่ไปว่ า “อ้าว...ทำไมวันนี้กลับเร็วจัง ยังไม่ทันจะสว่างเลย...”

เขาสงสัยว่า ไม่ว่าเขาอยู่ที่ไหนแล้วอาตมารู้ทุกที ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นนักเที่ยวเหมือนกัน เมื่อสงสัยจึงบุกไปที่วัด พอเขาถามว่ารู้เรื่องได้อย่างไร อาตมาก็บอกว่า เวลาเขาพูดวิทยุ พอกดคีย์ เสียงข้าง ๆ วิทยุเข้ามาด้วยก็เลยได้ยิน แบบว่าหาเรื่องแก้ตัวไปเรื่อย

อาตมาจึงแนะนำเขาว่า เรื่องอย่างนี้เป็นคุณสมบัติที่ทุกคนทำได้ แต่ต้องฝึกสมาธิเบื้องตนให้ได้ก่อน ถ้าจิตของเราสงบก็เหมือนกับน้ำนิ่ง น้ำที่นิ่งสามารถสะท้อนเงาของทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้าง ๆ ให้เห็นได้ชัด

เขาก็ลองทำดู ปรากฎว่าเทอมนั้นผลการเรียนดีขึ้นผิดหูผิดตาทั้ง ๓ - ๔ คน

แม่เขาที่อยู่ข้างวัด แต่ไม่เคยเข้าวัดก็เลยเริ่มเข้าวัด มาทำบุญอาตมาเห็นลูกคนกลางของเขากลมเป็นลูกชิ้นเลย จึงขอลูกคนนี้กับแม่ของเขาแม่ก็เลยยกให้พร้อมกับอีก ๒ คน

คราวนี้พี่สาวเขารู้ ก็เลยยกลูกให้อีก ๓ สรุปแล้วขอ ๑ ได้มา ๖ ตอนนี้แต่งงานไปหมดแล้ว เจ้าตัวเล็กสุดที่ตอนนั้นอยู่ ม. ๒ ตอนนี้มีลูกแล้ว

เขาเป็นตัวแทนบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต สาขาชัยนาท ทำสถิติยอดเงินประกันสูงสุดของภาคเหนือทุกปี อยู่ในลักษณะที่ลูกค้าวิ่งไปหาเขาเอง เขาไม่ต้องหาลูกค้า เพราะว่าเขาดูแลลูกค้าดีมาก

อย่างน้อย ๆ อาทิตย์หนึ่งลูกค้าจะต้องเห็นหน้าเขาครั้งหนึ่งจะมีเรื่องหรือไม่มีเรื่องเขาก็ไปถึงบ้านลูกค้าตลอด ถามสารทุกข์สุขดิบ วันเกิดปีใหม่ก็ส่งกระเ้าไปให้ ลูกค้าเกิดเรื่องอะไรเจ็บไข้ได้ป่วยเล็กน้อยขนาดไหน เขาทำเคลมให้หมด

เขาไปทะเลากับสำนักงานใหญ่จนสำนักงานใหญ่ระอา เขาบอกว่าเป็นสิทธิ์ของลูกค้าจะสามร้อยบาท ห้าร้อยบาท ก็เบิกให้หมด ก็เป็นสิทธิของเขาที่จะเบิกได้ คุณมีหน้าที่คุณก็จ่ายมา

บางทีแม้กระทั่งลูกค้าก็ไม่อยากได้ แต่เขาบอกว่าเซ็นมาเถอะ เขาจะเคลมให้ ในเมื่อเขาดูแลดี ลูกค้ารู้ก็วิ่งมาหาเอง พอเยอะเข้า ๆ ตัวเองทำไม่ไหว จึงให้สามีออกจากโรงเรียนที่สอนอยู่ มาช่วยทำประกัน แล้วก็เอาลูกออกจากงานมาช่วยทำ ไป ๆ มา ๆ ทั้งตระกูลก็มาช่วยกันทำ

ดังนั้น..เราจะเห็นได้ว่า การทำงานหรือปฏิบัติธรรมก็เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งว่า ถ้าทุ่มเทอย่างจริง ๆ จัง ๆ คือเมื่อฉันทะเกิดแล้ว วิริยะตามมาพากเพียรทำไป จิตใจปักมั่นอยู่กับเป้าหมายไม่เปลี่ยนแปลง

เพราะเขาก็วิ่งหาลูกค้าอยู่ตลอด พูดง่าย ๆ ว่าเดือนหนึ่งลูกค้าเห็นหน้า ๓ - ๔ ครั้ง ก็เกิดความมั่นใจว่าตัวแทนไม่ทิ้งเขาแน่ เรื่องเล็กเรื่องน้อยขนาดไหนเขาก็จัดการเคลมให้หมด

ขนาดตัวเองไม่ไปโรงพยาบาล ก็ยังไปหาเพื่อนหมอที่คลินิก บอกให้เพื่อนเซ็นรับรองว่าป่วย ในเมื่อเราทำได้ ลูกค้าก็วิ่งมาซนเอง

เขาไปเที่ยวต่างประเทศจนเบื่อ เพราะรางวัลพวกนี้ส่วนใหญ่ให้ไปเที่ยวต่างประทเศ ไปจนไม่อยากจะไปแล้วฟรีก็จริง แต่เวลาอยากได้อะไรก็ต้องควักกระเป๋าซื้อเอง

เรามาดูกำลังใจว่า เขาทุ่มเทให้กับงานขนาดนั้น พวกเราก็ควรทุ่มเทกับการปฏิบัติแบบนั้นบ้าง ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง ถ้าไม่ได้ดีที่สุด ก็ต้องได้ให้มากที่สุด”

*************************

ถาม : ทำพรหมวิหารสี่ให้เป็นฌานได้อย่างไรคะ ?

ตอบ : แผ่เมตตาจนกระทั่งเต็มที่แล้วก็ให้ภาวนาต่อแค่นั้นเอง อย่างเราแผ่ส่วนแผ่ ภาวนาส่วนภาวนา ไปทำแยกกัน

ให้แผ่เมตตาตามแบบที่เคยสอนไป จนกระทั่งอารมณ์ใจเต็มที่แล้ว เราก็จับลมหายใจภาวนาต่อ

ถาม : เราเอาเมตตามาใส่ จะได้หรือคะ ?

ตอบ : ถ้าเต็มที่อยู่แล้ว ถึงเวลาเราแค่ภาวนาต่อท้ายเท่านั้นเอง เท่ากับเป็นตัวสมาธิในเมตตา

*************************

“พวกเราส่วนหนึ่งเวลากำลังใจตก จะไม่ค่อยกล้ามาหาพระ ไปรอว่ากำลังใจดีเมื่อไรแล้วค่อยมา ขอบอกว่าถ้าทำอย่างนั้นคิดผิดมาก

ส่วนใหญ่เพราะพวกรเากลวว่าพระรู้เรื่องไม่ดีของตัวเองแล้วจะว่าเอา อาตมาพูดไม่ผิดหรอก...เพราะว่ารู้จริง ๆ

แต่พระไม่ได้มีหน้าที่มาพูดว่าเราทำอะไรไม่ดี พระท่านมีหน้าที่ดูว่าจะช่วยอย่างไรให้เราดีต่างหาก

เพราะฉะนั้น...ความลับก็ยังเป็นความลับอยู่เหมือนเดิม ไม่ต้องกังวลไป

พระไม่มีหน้าที่ซ้ำเติมใคร ในสายตาของผู้ปฏิบัติธรรมจริง ๆ ไม่มีคนดี ไม่มีคนเลว มีแต่คนที่กำลังเป็นไปตามวาระของกรรม

คนที่ทำกรรมดี ก็ติดอยู่ในกระแสขาวที่ดึงขึ้นไป

คนทีทำความชั่ว ก็หลงอยู่ในกระแสดำ ที่ไหลลงต่ำไปเรื่อย ๆ

พระท่านมีหน้าที่แค่ดูว่าจะเสริมเขาให้ดีอย่างไร ? จะช่วยเขาให้ดีอย่างไร ? ไม่ได้มีหน้าที่ไปดูแล้วก็ไปตำหนิด่าว่าใคร

ยกเว้นว่าการด่านั้นทำให้เขาสำนึกแล้วกลับมาดี ท่านจึงทำ ดังนั้น...ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ใช่รอว่าดีแล้วค่อยมาหาพระ ถ้าดีแล้วะจมาทำไมวะ...?!

ถ้ารู้ตัวว่าชั่วให้รีบมาหาพระ เผื่อว่าท่านจะช่วยได้บ้าง ถ้ารอให้ตะเกียกตะกายเอง มักจะช้า เสียเวลามากโดยใช่เหตุ ถ้าตายตอนนั้นก็ขาดทุนยับเยิน”

*************************