Lemon8 Video Downloader

The easiest way to download video and gallery from Lemon8 app

เล่มที่ ๑๘๕ ฉบับที่ ๑๘๕ เดือนก | แกลเลอรีที่โพสต์โดย ขุนทอง โกเจริญ | Lemon8

เล่มที่ ๑๘๕ ฉบับที่ ๑๘๕ เดือนก | แกลเลอรีที่โพสต์โดย ขุนทอง โกเจริญ | Lemon8

Desktop: Right-Click and select "Save link as..." to download.

PHOTOS
เล่มที่ ๑๘๕ ฉบับที่ ๑๘๕ เดือนก | แกลเลอรีที่โพสต์โดย ขุนทอง โกเจริญ | Lemon8 JPEG Download

เล่มที่ ๑๘๕ ฉบับที่ ๑๘๕ เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒-หน้า-01

เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนกันยายน ๒๕๕๔

ถาม : ยันต์มหาพิชัยสงคราม ถ้าไม่มีเหรียญเอกราช จะสามารถเลี่ยมแบบเดี่ยว ๆ ไหมครับ ?

ตอบ : ได้…แล้วใครเขาบังคับให้เลี่ยมคู่ ?

ถาม : รบกวนปลุกด้วยครับ ?

ตอบ : ปลุกก็ตายห่...พอดี …!

จำไว้เลยว่ายันต์พิชัยสงครามห้ามปลุกเด็ดขาด หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสั่งห้ามเอาไว้

ตัวอย่างที่ชัดที่สุดคือ หลวงตาวัชรชัย สมัยยังไม่ได้บวช พอเขาเอาผ้ายันต์พิชัยสงครามมาวางจำหน่ายที่บ้านสายลม จะมีเศษผ้าที่เขาตัดเป็นเส้นเล็ก ๆ ผูกอยู่เป็นมัด พอแกะออก หลวงตาก็เอาเศษผ้ามาคาดหัว แล้วก็ทำท่าให้ถ่ายรูป ไม่รู้เท้าใครเตะมา โครมเดียวหลวงตากระเด็นไปติดข้างฝา นั่นแค่เศษ ๆ ผ้าที่เข้าพิธีนะ...ท่านยังห้ามเล่นเลย

หลวงตาคอเอียงเลย ต้องให้พี่ ๆ เขามานวดให้ พอพี่ตั้วช่วยจับเส้นก็ถึงกับสะบัดมือพรวดเลย เหมือนโดนไฟดูด “ไอ้ห่...มึงไปทำอะไรมาวะ ? ของแรงปานนี้”

หลวงตาสารภาพว่า เอาเศษผ้าที่ผูกยันต์พิชัยสงครามมาคาดหัวเล่น

พี่ตั้วไปเอาน้ำมนต์ของหลวงพ่อมาควั่นข้อมือตัวเองจึงนวดได้ ไม่อย่างนั้นจะเข้าตัว

หลวงพ่อถึงได้เตือนว่า ธงพิชัยสงครามอย่าปลุก ถ้าปลุกแล้วทานกำลังไม่ได้ เดี๋ยวจะตายเอา น่าจะเป็นประเภทเส้นโลหิตในสมองแตก เป็นวัตถุมงคลอย่างเดียวที่ห้ามลองด้วยการปลุก ใครจะลองก็ไม่ว่า ให้จองเมรุไว้ก่อนเลย...!

อะไรที่หลวงพ่อสั่ง นานแค่ไหนอาตมาก็จำไม่ลืม เพราะว่าคำสั่งที่ท่านสั่งก็เพื่อประโยชน์ของเราทั้งนั้น

*************************

ธงมหาพิชัยสงครามพอพ้นจากหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้ว คนอื่นทำก็ได้แค่สวยเท่านั้น ท่านบอกว่าอานุภาพได้ไม่ถึง ๕ เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าไม่ใช่เชื้อสายของท่าน

ท้าวมหาชมพู ก็คือพระร่วง ท่านเป็นเจ้าของธงมหาพิชัยสงคราม ในเมื่อหลวงพ่อท่านไม่มีลูกไม่มีหลานที่สืบสายท่านโดยตรง ท่านจึงถวายตำราพระร่วงให้กับในหลวง ร.๙ ไป

ด้วยความที่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน สามารถเริ่มต้นสายวิชาการใหม่ได้ทุกประเภท อยู่ในลักษณะที่ทรงประทานให้ เพราะฉะนั้น...ใครอยากได้ให้ไปขอจากในหลวง ถ้าในหลวงประทานให้ ถือว่าท่านครอบครูให้เราเป็นต้นสายใหม่ วิชาการอะไรที่ขาดช่วงลง ในหลวงสามารถที่จะครอบครูให้ใหม่ได้ เพราะถือว่าท่านเป็นทั้งเจ้าฟ้าเป็นทั้งเจ้าแผ่นดิน เขาถือกันอย่างนี้มาตั้งแต่โบราณ

*************************

ถาม : ก่อนพุทธศาสนาจะเกิดขึ้น มีศีล ๕ ศีล ๘ หรือไม่ครับ ?

ตอบ : พวกโยคีฤๅษีส่วนใหญ่เขามีศีล ๕ ศีล ๘ เป็นปกติอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น...อย่าคิดว่าศีล ๕ เป็นของศาสนาพุทธ ความจริงศีล ๕ เป็นของศาสนาเชน

ถาม : ใครสร้างกฎขึ้นมา ?

ตอบ : ศาสนาเขาเห็นว่าเหมาะ เขาจึงสร้างขึ้นมา ศาสดาของศาสนาเชนคือ ท่านมหาวีระ มีศีล ๕ ก่อนศาสนาพุทธจะเกิดขึ้น มีวันหยุดธรรมสวนะ ศาสนาพุทธมามีตามหลัง

ถึงได้บอกว่าคนที่จะเอาศาสนาพุทธบริสุทธิ์ หาทั้งชาติก็หาไม่เจอ โดยเฉพาะธรรมะของพระพุทธเจ้ามีส่วนที่ท่านเห็นว่า สิ่งที่ศาสนาอื่นบัญญัติไว้เหมาะสมแล้ว ท่านก็นำมาใช้ อย่างเช่น ศีล ๕ หรือวันพระ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีส่วนที่ท่านดัดแปลงจากศาสนาอื่นมาเพื่อให้สมบูรณ์ เช่น สิงคาลกสูตร ที่สิงคาลกมานพไหว้ทิศทั้ง ๖ อยู่ พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า ถ้าจะไหว้ให้ถูกต้อง ต้องไหว้ดังนี้

ทิศเบื้องบน คือ สมณชีพราหมณ์ ต้องปฏิบัติอย่างไร

ทิศเบื้องล่าง คือ ข้าทาสบริวาร ต้องปฏิบัติอย่างไร

ทิศเบื้องหน้า คือ พ่อแม่ ต้องปฏิบัติอย่างไร

ทิศเบื้องหลัง คือ บุตรภริยา ต้องปฏิบัติอย่างไร

ทิศเบื้องขวา คือ ครูบาอาจารย์ ต้องปฏิบัติอย่างไร

ทิศเบื้องซ้าย คือ มิตรสหาย ต้องปฏิบัติอย่างไร

นี่คือส่วนที่ท่านดัดแปลงให้ถูกต้องสมบูรณ์

ส่วนที่เป็นพุทธแท้ ๆ ก็คือ อริยสัจ เป็นสิ่งที่ท่านตรัสรู้มากกว่าศาสดาอื่นเขา

เพราะว่าหลักการปฏิบัติ ศาสนาอื่นเขาก็มีถึงสมาบัติแปดแล้ว เพียงแต่ว่าการปฏิบัติของเขาเน้นร่างกายมากเกินไป คิดว่าใครทรมานได้ยิ่งกว่า ก็จะทำให้พระเจ้ารักมากกว่า กลายเป็นผิดไปหน่อยเดียว ถ้าเลี้ยวถูกทางก็ไปลิบโลกแล้ว

แต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ เท่ากับว่าบ่มเพาะตัวเองจนไปถึงระดับที่บารมีของท่านเต็ม พอฟังเทศน์จบเดียวก็บรรลุกันเป็นแถว

เพราะฉะนั้น...จะว่าสิ่งที่ท่านทำจะไม่มีประโยชน์ก็ไม่ได้ อย่างท่านที่เสียประโยชน์ไป เช่น ท่านอาฬารดาบส ตายก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ๗ วัน ท่านอุทกดาบสยิ่งน่าเสียดายใหญ่ ตายวันเดียวกับที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ไม่ทันได้เจอพระพุทธเจ้าตอนตรัสรู้แล้ว

แสดงว่าท่านอาฬารดาบส ตายวันขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๖

ท่านอุทกดาบส ตายวันขึ้น ๑๕ ค่ำ วันวิสาขะพอดี

*************************

“นึกถึงสมเด็จย่า...สมเด็จย่าตรัสกับในหลวงว่า

“แม่แก่แล้ว...จะตายวันไหนก็ไม่รู้ ?”

พระองค์ท่านย้ำอยู่บ่อย ๆ ในหลวงก็ต้องดูแลแม่มากขึ้น ช่วงท้าย ๆ ถึงขนาดไปเสวยพระกระยาหารค่ำอาทิตย์ละ ๕ วัน

พันเอกพิเศษทองคำ ศรีโยธิน ท่านเคยเป็นอาจารย์ เคยสอนอาตมาอยู่ ท่านบอกว่า มีใครบ้างที่อยู่คนละบ้านกับแม่ แล้วไปกินข้าวกับแม่ได้อาทิตย์ละ ๕ วัน พวกข้าราชการ อธิบดี รัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรี ถึงเวลาอ้างติดงานไม่มีเวลาไป แต่มีเวลาไปตีกอล์...!”

*************************

“ท่านอุปกาชีวก เป็นบุคคลแรกที่ได้พบพระพุทะเจ้าหลังจากที่ตรัสรู้แล้ว เป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่เรียกพระพุทธเจ้าว่าอนันตชินะ แปลว่า ผู้ชนะอย่างหาประมาณไม่ได้

ตอนนั้นพระพุทธเจ้าจะเสด็จไปป่าอิสิปตนมฤคทาย อุปกาชีวกเดินผ่านมาพอดี สงสัยว่าไฟไหม้ราวป่าหรืออย่างไร เพราะว่ามีแสงก็คือฉัพพรรณรังสี สว่างไปหมด จึงเข้าไปดูแล้วพบพระพุทธเจ้า ชอบใจมากเลยเข้าไปถาม

“ดูก่อนท่านผู้เจริญ ...อินทรย์ของท่านผ่องใสยิ่งนัก ท่านชอบใจธรรมะของผู้ใด ใครเป็นครูบาอาจารย์ของท่าน ?”

พระพุทธเจ้าตอบว่า “เราเป็นสวยัมภู” คือเป็นผู้รู้เอง

ท่านอุปกาชีวกถามพระพุทธเจ้าว่า “ถ้าจะไปหาท่าน จะให้บอกว่าไปหาใคร ?”

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ให้เรียกเราว่าอนันตชินะ คือผู้ที่ชนะอย่างหาประมาณไม่ได้”

ในพระไตรปิฎกอธิบายว่า อุปกาชีวกแลบลิ้นลั่นศีรษะแล้วหลีกไป

ทุกวันนี้อรรถกถาอธิบายว่า อุปกาชีวกไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ถ้าไม่เชื่อพระพุทธเจ้า แล้วตอนหลังอุปกาชีวกย้อนกลับไปบวชเพื่ออะไร ?

เราลองไปทิเบตทุกวันนี้ ถ้าเขาเคารพใครมาก ๆ เขาจะแลบลิ้นให้ พวกเมารีที่ออสเตรเลียเขาก็แลบลิ้นให้

ส่วนการสั่นศีรษะของแขกแปลว่าใช่เลย เวลาพระไทยไปเมืองแขก แขกเขาเลี้ยงอาหารที่เรียกว่า อังคาสด้วยมือ ก็คือจะมีคนนั่งอยู่ข้าง ๆ คอยเติมให้ คนไทยก็สั่นหัวไม่เอา แขกยิ่งเติมใหญ่เลย เพราะการสั่นหัวของเขา คือเอาอีกหรือว่าใช่เลย

เพราะฉะนั้น...อุปกาชีวกแลบลิ้นคือแสดงความเคารพ ที่สั่นหัวก็คือเชื่อ แต่กิเลสยงบังหน้าอยู่ ไม่มีโอกาสขอฟังธรรม จะรีบเดินทางไปแต่งงานก่อน

เพื่อนของอุปกาชีวกยกลูกสาวให้ ตอนนั้นตัณหาราคะนำหน้า อุปกาชีวกจึงไม่ได้คิดที่จะบวช ไม่ได้คิดที่จะฟังธรรม จะรีบไปแต่งงาน

พอแต่งงานแล้ว อุปกาชีกไปอยู่อาศัยบ้านของผู้หญิง คือการแต่งงานมี อาวาหมงคล กับ วิวาหมงคล

ถ้าผู้ชายไปอยู่บ้านผู้หญิง คือ อาวาหมงคล

แต่ถ้าผู้หญิงไปอยู่บ้านผู้ชาย คือ วิวาหมงคล

อุปกาชีวกไปอยู่บ้านเพื่อนที่กลายเป็นพ่อตา ก็เท่ากับไปกิน ๆ นอน ๆ ที่บ้านเขา เมียก็บ่นบ้าง ด่าบ้าง เกิดมาทั้งทีหาความดีก็ไม่ได้ ทรัพย์สมบัติก็ไม่มี พี่น้องเพื่อนฝูงที่เป็นคนรวยก็ไม่มี พรรคพวกเพื่อนฝูงที่เป็นคนใหญ่คนโตก็ไม่มี

ท้ายสุดอุปกาชีวกทนไม่ไหวบอกว่า ตัวท่านเองมีเพื่อนที่ยิ่งใหญ่มาก ตอนนี้เป็นศาสดาเอก ภรรยาถามว่าใคร ?

อุปกาชีวกบอกว่า ท่านฟังข่าวเพื่อนคนนี้อยู่ตลอด ไปไหนมีรัศมีออกอยู่คนเดียว ชื่อว่าพระอนันตชินะ เมียก็ประชดบอกว่า มีเพื่อนก็ไปพึ่งเพื่อนสิ อุปกาชีวกก็เดินทางไปหาพระพุทธเจ้า

ตอนช่วงเช้าพระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า “ถ้ามีบุคคลมาถมหาพระอนันตชิน ให้พามาหาเรา” อุปกาชีวกก็ถามหาชื่อนี้จริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ อุปกาชีวกฟัง ท่านก็เลยบวช”

*************************

“เรื่องของการบวชพระที่เขาถามอันตรายิกธรรม คือ กุฏฐัง คัณโฑ กิลาโส โสโส อะปะมาโร เหล่านี้เป็นโรคที่สังคมรังเกียจในยุคนั้น พวกโรคกลากเกลื้อน โรคเรื้อน ลมชัก วัณโรค

หมอชีวกโกมารภัจจ์ท่านเคารพพระพุทธเจ้ามาก ท่านรักษาแต่พระพุทธเจ้าและพระ ส่วนเวลาอื่นท่านต้องถวายการรักษาพระเจ้าแผ่นดิน เพราะว่าเป็นหมอหลวง ไม่มีเวลารักษาคนทั่วไป คนทั่วไปก็ฉลาด ใช้วิธีบวชชีเข้ามาเป็นพระให้หมอชีวกฯ รักษา พอหายจากโรคแล้วก็สึก

หมอชีวกโกมารภัจจ์เดินเข้าวัง พอดีสวนกับพระที่เพิ่งสึกใหม่ ๆ ก็จำได้ “ท่านสึกแล้วหรือ ?”

เขาตอบว่า “เราหายจากโรคแล้วจึงสึก”

ได้ยินดังนี้ หมอชีวกโกมารภัจจ์จึงเข้าใจว่า เขาบวชเข้ามาต้องการให้รักษาอย่างเดียว ท่านก็เลยขอพระพุทธเจ้าว่า บุคคลที่ป่วยด้วยโรคสังคมรังเกียจ ๕ ประการนี้ อย่าให้บวช คือให้มีการถามอันตรายิกธรรม ก็คือถามว่าเป็นโรคพวกนี้หรือเปล่า

หลังจากนั้นส่วนอื่น ๆ ก็จะมี มะนุสโสสิ เป็นมนุษย์หรือเปล่า ? เพราะเคยมีพญานาคแปลงกายมาบวช

ปุริโสสิ เป็นผู้ชายหรือเปล่า ? ความจริงเขาถามว่าเป็นบุรุษหรือเปล่า ?

ภุชิสโสสิ เป็นทาสหรือเปล่า ? ถ้าเป็นทาสหนีเจ้านายมาก็บวชให้ไม่ได้ เพราะเป็นคนมีเจ้าของ

อะนะโณสิ เป็นหนี้หรือเปล่า ?

นะสิ ราชะภะโฏ เป็นข้าราชการหรือเปล่า ? ถ้าหนีราชการมาบวช พระเจ้าแผ่นดินสั่งประหารชีวิตจะเดือดร้อนกันใหญ่

อะนะโณสิเป็นหนี้หรือเปล่า ? ข้อนี้คนเข้าใจผิดกันเยอะว่า ถ้ามีหนี้สินอยู่บวชไม่ได้ เขามีวิธีสำหรับคนเป็นหนี้แล้วอยากบวช ก็คือหาคนมารับสภาพหนี้ เช่น ทางบ้านรับปากว่า ถ้าเขามาทวงจะใช้หนี้ให้ ก็ถือว่าทางบ้านรับสภาพหนี้ให้แล้ว บวชได้

อะนุญญาโตสิ มาตาปิตูหิ พ่อแม่อนุญาตแล้วหรือยัง ? ตรงนี้ก็เหมือนกัน ถ้าพ่อแม่เป็นมิจฉาทิฐิ ไม่ต้องรอให้ท่านอนุญาตหรอก เพราะทั้งชาตินี้ก็ไม่อนุญาตแน่

อย่างพระสารีบุตร ท่านรู้ว่าแม่เป็นมิจฉาทิฐิ ถ้าน้อง ๆ ไปขออนุญาตบวช คงไม่ได้บวชแน่ ท่านจึงรับผู้ปกครองน้อง ๆ เอง ถึงเวลาถามก็บอกว่า ท่านให้บวชก็บวชได้”

*************************

ถาม : ท่านช่วยเคาะหัวให้ผมได้พระนิพพานเร็ว ๆ หน่อยครับ ?

ตอบ : สุทฺธิ อนุทฺธิ ปจฺจตฺตํ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนแล้ว มรรคผลของใครของมันทำกันเอง คนหนึ่งช่วยอีกคนหนึ่งไม่ได้หรอก สนับสนุนได้ ส่งเสริมได้ แต่ช่วยให้หลุดพ้นไม่ได้

ถ้าช่วยได้ พระพุทธเจ้าท่านเอาพวกเราไปนิพพานหมดแล้ว เคาะคนละโป๊กก็จบ ไม่ต้องมาเทศน์ปากเปียกปากแฉะ...!

*************************

ถาม : บารมี ๑๐ เราต้องทำให้อารมณ์ทรงตัว หรือต้องทำแบบไหนคะ ?

ตอบ : ให้ทุกข้อเต็มอยู่ในใจของเรา เจอแบบไหนต้องทำให้ได้ทันที

อย่างทานบารมี ทันทีที่คนมีความต้องการ เราพร้อมจะให้ได้ทันที ให้แล้วก็ปลื้มใจว่าเราได้ให้ไปแล้ว ส่วนเขาจะไปทำอย่างไรเราไม่ใส่ใจ เพราะเราได้ให้ไปแล้ว

ศีลบารมี ศีลทุกข้อของเราสมบูรณ์บริบูรณ์ ไม่ล่วงศีลแม้ว่าจะอยู่ในภาวะที่เดือดร้อนถึงแก่ชีวิตของตนก็ยอม

เพราะฉะนั้น..ต้องทำได้จริง ๆ ไม่ใช่จำได้ จำได้ว่าบารมี ๑๐ มีอะไรบ้างจบแล้ว แบบนี้ชาติหน้าบ่าย ๆ ถึงจะบรรลุ

*************************

ถาม : คำว่าปรมัตถบารมี มีเกณฑ์ที่ชัดเจนไหมครับ ?

ตอบ : ปรมัตถบารมีเขาวัดกันด้วยชีวิต ถ้าหากว่ายอมตายเพื่อให้ได้ทำความดี ต้องเป็นปรมัตถบารมีแน่

*************************

“ผู้หญิงมอญและพม่ายังไว้ผมยาวเป็นปกติ แล้วเกล้ามวยผมไว้ ลักษณะแทนเขาพระสุเมรุอันเป็นหลักโลก เป็นความเชื่อของฮินดู เขาเชื่อว่าเขาพระสุเมรุเป็นที่อยู่ของพระศิวะ เลยเกล้ามวยผมแทนเขาพระสุเมรุ

ถ้าชาวพม่าพบบุคคลหรือพระที่เขาเคารพมาก เขาจะคลี่มวยผมลงมาเป็นทางให้เดิน นั่ง ๒ ข้างปูลงมาเป็แถว แรก ๆ อาตมาไม่กล้าเหยียบ เพราะว่าจั๊กกะจี้เท้า แต่นี่เป็นศรัทธาของเขา ก็เลยต้องฝืนทำไป

ส่วนพวกกะเหรี่ยง เขาจะทอดตัวเป็นทางให้เดิน เขาเอารูปแบบมาจากพระพุทธเจ้า สมัยเป็นสุเมธดาบส ที่ทอดตัวเป็นสะพานให้สมเด็จพระพุทธทีปังกรสมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จข้ามไป

แล้วองค์สมเด็จพุทธทีปังกรพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า ดาบสนี้อีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านามว่า โคตมะ ทางด้านของกะเหรี่ยงเขาชอบใจตรงประวัติส่วนนี้ เขาก็จะทอดตัวให้เดิน

คราวนี้พวกกะเหรี่ยง มอญ พม่า เขาทอดตัวให้เดินก็ยังพอไปได้ แต่กะเหรี่ยงบ้าน คลิตี้ เขาโก้งโค้งให้เดิน โห...เดินยากมาก ถึงเวลาเขาจะตั้งซุ้มสำหรับอุ้มพระขึ้นไปสรงน้ำ เขาจะต่อรางไม้ไผ่ยาว ๆ เทใส่ ป้องกันไม่ให้ผู้หญิงเข้าใกล้พระ แล้วเขาจะโก้งโค้งต่อแถวซะยาวยืด ให้พระเดินเหยียบจากที่สรงน้ำไปจนถึงกุฏิ”

*************************

“ทำงานแล้วจะเอาประโยชน์ ก็ต้องให้สติอยู่เฉพาะหน้า ไม่ให้ไปที่อื่น แล้วเราก็สังเกตว่า เราบังคับให้อยู่ตรงหน้าได้นานกี่นาที ปกติแล้วพักเดียวก็จะแวบไปที่อื่น แล้วเราก็ดึงกลับมาเริ่มต้นใหม่

เพราะฉะนั้น...เวลาทำงาน ถ้าใจมุ่งอยู่กับงานเฉพาะหน้าก็เป็นกรรมฐาน เพราะว่าสติจดจ่ออยู่กับปัจจุบันธรรมตรงหน้า”

*************************